Who I am

Words 4204


อายุ 5 ปี สถานะ น้องชาย

ณ หน้าบ้าน

 

เด็กชายดันเตเลี่ยนตัวน้อยกำลังนั่งเล่นอยู่กับพี่ชายข้างบ้านที่แคร่นั่งหน้าประตู…ก่อนจะมีผู้ชายคนหนึ่ง ผิวขาว…ลักษณะดูมีเงิน ก้มลงมาหาเขา…  “แม่อยู่หรือเปล่า เจ้าหนู…”

เด็กน้อยพยักหน้าก่อนจะวื่งเข้าบ้านไป “แม่ แม่!! มีคนมาหาล่ะ แม่!!” เด็กชายที่อยู่ด้วยกันกลับไปที่บ้านของตนเอง ส่วนหญิงสาวผู้เป็นแม่ละมือจากงานที่ทำอยู่และตามเสียงเรียกของลูกชายออกมา

 

“ใครเหรอ คาซีล…?” นางเดินมามองชายคนนั้นก่อนจะนิ่งอึ้งไป…. เด็กน้อยไม่รู้ว่าแม่ของตนมีความรู้สึกอย่างไรต่อชายคนนั้น  เธอเรียกเขาเข้าไปกอดแล้วอุ้มขึ้น…

 

“นี่..ท่านพ่อ นะ..คาซีล…” หญิงสาวยิ้ม…

คนผิวขาวตรงหน้าทั้งคู่ก็ยิ้ม…เขาสวมสร้อยคอพร้อมจี้สีเขียวใส่คอไว้ให้เด็กน้อย.. “ของขวัญ..จากพ่อ”……

แต่เด็กน้อยเรียกคำว่าท่านพ่อออกจากลำคอไม่ได้เลย….

แต่แล้วอีกคนก็ปรากฏขึ้นข้างหลังชายหนุ่ม…

เด็กสาวที่สูงกว่าเด็กชาย….

“น้องชาย…ของข้าเหรอคะ…?”  เธอเดินเข้ามาใกล้…ดวงตาสีเขียวสองคู่สบกัน…. ก่อนรอยยิ้มตื่นเต้นจะปรากฏขึ้น.. “ข้าชื่อบริทจิต…เป็นพี่สาว”…

เด็กน้อยรู้สึกเขินอายจึงก้มหน้างุด….. “ขะ..ข้าชื่อ…คาซีล…..” ไม่ทันไรร่างเล็กก็ถูกอุ้มขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะของคนเป็นพี่สาว

“เราเป็น พี่น้องกันแล้วนะ!!”


อายุ 7 ปี สถานะ ชาวประมงฝึกหัด

ณ ชายหาด แหล่งไข่มุกของฟินเชอร์รี่

“เจ้าต้อง  สูดหายใจเข้าให้เต็มปอด” หญิงสาวดันตาเลี่ยนคนหนึ่งกำลังสอนเด็กชายให้ดำน้ำเพื่อเลี้ยงชีพ “แล้วผ่อนลมออกมาเพื่อทำให้ร่างกายของเจ้าชินกับน้ำ แบบนี้” นางหายใจเข้าลึกๆ ให้หนูน้อยทำตาม จากนั้นจึงจับมือเล็กๆไว้ก่อนจะพาลงดำน้ำเพื่อผ่อนลมออก

“บุ๋งๆๆ” ฟองอากาศมากมายไหลออกจากปากทำให้เด็กชายรู้สึกตื่นเต้น เมื่ออากาศหมดเขาโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำและทดลองทำอีกครั้ง

การกระทำเช่นนั้นทำให้หญิงสาวดีใจ.. ลูกของนางชอบทะเล และดูเหมือนว่าเขาจะว่ายน้ำได้โดยที่นางไม่ต้องสอน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังห้ามให้เด็กชายไม่ให้ไปที่ลึกมากนัก

“ทำไมเหรอท่านแม่ ข้าเห็นพวก ลุงป้าไปดำผุดดำว่ายกันตรงนั้น ข้ายังไปไม่ได้เหรอ…?” เด็กน้อยถามด้วยความสงสัย แม่ของเขาส่ายหน้ายิ้มให้

“เจ้าพึ่งดำน้ำในที่ลึกวันแรก คาซีล” สองมือแม่ช้อนตัวของลูกขึ้นไปยืนบนหิน ตรงที่แม่ยืน พึ่งจะพ้นหัวเจ้าเพียงนิดเดียวเท่านั้น หากความซุกซนทำตัวเจ้าปลิวไปกับคลื่นทะเล แม่จะทำอย่างไรดี ฮึ อยู่ที่ตื้นๆ ว่ายน้ำให้แข็งและดำน้ำให้ได้นานๆเสียก่อน แล้วแม่จะพาไปหาของดีฟินเชอร์รี่” หญิงสาวไหล่กว้างผิวเข้มที่ใส่เพียงเกาะอกและกางเกงสีดำตัวสั้นเพื่อการดำน้ำนั้นหอมแก้มเด็กน้อยก่อนจะเอ่ยเรียกเด็กหนุ่มอีกคนที่ดำผุดดำว่ายแถวนั้น

“โยชา น้าฝาก เจ้าจอมซนนี่ด้วย” เด็กตัวผอมหันมองคนที่กำลังย่างเข้าวัยรุ่นก่อนจะยิ้มแป้นแล้วโบกมือไวๆให้กับคนที่เดินมาจากหลังโขดหินพร้อมกับของในย่ามที่ได้จากทะเลมามากมาย

เขามีรูปร่างที่ออกจะกำยำตั้งแต่เล็ก พอย่างเข้าวัยรุ่นยิ่งดูแข็งแรงและโตกว่าเด็กรุ่นเดียวกันมากนัก อีกทั้งยังเป็นหัวหน้ากลุ่มของเด็กๆในย่านท่าเรือนี่อีกด้วยและที่สำคัญ…

เป็นพี่ชายข้างบ้านของคาซีลเอง โยชาจึงเห็นเด็กน้อยเหมือนน้องแท้ๆของตน

ด้านหลังของเด็กตัวใหญ่ก็มีเด็กวันรุ่นชายหญิงอีกสามคนเดินตามมา ทั้งหมดเป็นน้องแท้ๆของโยชาทั้งสิ้น ต่างถือย่ามตาข่ายใส่ของมากันทั้งนั้น

รอยยิ้มมั่นใจในตนเองของเด็กหนุ่มผุดขึ้นที่ริมฝีปาก “ได้เลยน้า เดี๋ยวข้าจะดูให้ รับรอง ไม่ปลิวไปกับทะเลอย่างแน่นอน” น้ำเสียงที่เริ่มแตกหนุ่มทำให้เขาดูห้าวหาญมากขึ้นกว่าเดิมก่อนจะเดินไปยังที่คาซิลอยู่ “ไป ไอ้หนู ข้าจะสอนเจ้าให้ปอดแข็งจนไปดำหาหอยไข่มุกงามๆได้เลยทีเดียว!”

“งั้นข้าไปก่อน” หญิงสาวเอ่ยก่อนจะเดินสะพายย่ามตาข่ายขึ้นจากน้ำตื้น เพื่อไปยังแหล่งไข่มุขที่น้ำลึกกว่ามากมายนักโดยไม่ลืมหอมแก้มนิ่มของลูกชาย

“ฮิฮิ แม่ฮะ เย็นนี้ข้าอยากกินปลาย่าง!” คาซีลโบกมือไวๆก่อนจะหันไปวิ่งตามโยชาไป..เด็กน้อยดึงย่ามของเด็กชายเบาๆ “วันนี้พี่จะสอนอะไรข้าเหรอ” แล้วเงยหน้าขึ้นมองคนที่สูงเลยเขาไปหนึ่งช่วงตัว

โยชากอดอกแล้วโคลงหัวก่อนจะนึกอะไรได้ เขาเสยผมตัดสั้นขึ้นทั้งที่ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วก้มมองเด็กน้อยที่มองกลับมาด้วยแววตาเป็นประกายอยากเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ

มือที่เริ่มใหญ่วางลงบนหัวทุยแล้วขยี้จนฟูแล้วก้มลงกระซิบ “สะเดาะกุญแจเป็นไง” แล้วก็หยิบลวดที่หยักแปลกๆสองเส้นขึ้นมาให้เด็กน้อยที่ตาเป็นประกายวิ้งดู “น่าสนุกไหมล่ะ ไอ้หนู” พร้อมกับเสียงหัวเราะหึหึของหนุ่มสาวที่เดินตามมาข้างหลัง

“ข้ามีหีบสองสามใบ และแม่กุญแจอีกเป็นสิบแบบให้เจ้าฝึกหัด ทำได้ครบเมื่อไหร่ข้าจะพาเจ้าไปลองของจริง” โยชาหัวเราะก่อนจะจูงมือเด็กน้อยไปยังสถานที่ลับสำหรับ…

กลุ่มโจรเด็ก…

เด็กชายโดนสอนให้ขโมยตั้งแต่เล็ก… เพราะเขาไม่มีพ่อ แม่ก็ต้องคอยทำงานหาเงินเลยไม่มีเวลาดูแลมากเท่าไหร่ การที่จะโดนหลอกให้คล้อยตามคนรอบข้างนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดายนัก และมันถูกปิดเป็นความลับกับมารดามาโดยตลอด ที่ผ่านมานางคิดแค่ว่าพวกเด็กๆพาไปเล่นกันเท่านั้น..

กว่านางจะรู้ว่าลูกของเธอเป็นโจรก็ผ่านไปเกือบหกปี…

 

และกว่าคาซีลจะรู้เรื่องรู้ราวว่าสิ่งที่ตัวเองทำเรียกว่าโจรก็ย่างอายุเข้าสิบขวบไปแล้ว แต่ตัวเด็กน้อยเองก็ไม่คิดจะเลิกการกระทำนี้แต่อย่างไร เพราะมันแสดงให้เห็นแล้วว่าการได้เงินมันได้มาง่ายกว่าใช้แรงงานเข้าแลกแบบแม่ของตนมากมาย  อาจจะมีเสียงถึงชีวิตแต่ผลที่ได้มามันก็คุ้มค่า


^55CAE3FD690F299272A9537A4210D45F1F11D7C188BB0168FC^pimgpsh_fullsize_distr[โยชา]


 

อายุ 9 ปี สถานะ นักเต้นฝึกหัด

โยชามีผู้หญิงมาอยู่บ้านด้วย….

 

ดวงตาสีเขียวมองสตรีคนสวยเป๋ง….

 

พี่สาวคนสวยก็มองเด็กน้อยอย่างเอ็นดู….เธอเป็นดันเตเลี่ยนผมยาวหยักโศกหนา ดวงตาคมสวย รูปร่างดี อย่างที่หลายๆคนต้องอิจฉา…

 

ตั้งแต่วันนั้นมา ยารี ไม่เคยออกจากบ้านของโยชาอีกเลย…

 

“คาซีลมานี่สิจ๊ะ..” มือเรียวกวักเรียกให้เด็กน้อยเดินเข้าไปหาอย่างว่าง่าย

“ฮะ พี่สาว…?” ขาที่กำลังยาวขึ้นก้าวไปตามเสียงเรียก บนในหน้ามองรอยยิ้มสดใสอยู่เต็มที่… เขาชอบพี่สะใภ้คนนี้มาก ทั้งสวยและใจดี แถมยังเอ็นดูเขาอยู่มากทีเดียว

 

เธอหอมเด็กชายซ้ายขวา “นี่แหนะคาซีล พี่จะสอนเจ้าเต้นรำ” รอยยิ้มสวยดึงดูดให้ตอบตกลง….

 

“งั้น ขอเวลาให้พี่จากโยชาซักวันนึงต่อเจ็ดวันแล้วกันนะน้องชาย” นางจับมือเล็กๆแล้วจูงเข้าไปในบ้าน และใช้เวลายามว่างของเธอสอนให้เด็กชายเต้นระบำหลากหลาย…

 

เพราะยารีเป็นต้นแบบ ทำให้หนูน้อยคาซีลชื่นชอบที่จะเข้าหาพี่สาวคนสวย และเพราะความน่ารัก และความกะล่อน ทำให้เขามีพี่สาวต่างสายเลือดมากมายในแถบนั้นที่รักและเอ็นดูไม่ขาด ทำให้เขาแทบจะไม่ขาดของกินเลยแม้แต่น้อย แถมยังได้รับความรัก และการขึ้นครูโดยไม่ต้องเสียเงินเมื่อย่างเข้าวัยรุ่นอีกด้วย


 

อายุ 11 ปี สถานะ ช่างไม้ฝึกหัด

“ฟังนะคาซีล นี่เป็นครั้งแรกที่จะให้เจ้าฉายเดี่ยว” โยชาที่ตอนนี้กลายเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้วพูดกับเด็กชายที่ย่างเข้าวัยรุ่น แต่ก็ยังตัวเล็กอยู่ดีสำหรับเขา

“หากถูกใครจับได้ให้ตอบไปว่า..เจ้าชื่อเครซ… งัดความกะล่อนที่ข้าสอนขึ้นมาให้หมดเพื่อเอาตัวรอดเข้าใจไหม..” มือใหญ่ยีแก้มเด็กชายอย่างเอ็นดูก่อนจะยันไหล่ที่เริ่มกว้างขึ้นอย่างเพศชายที่ดีให้ออกไปสู่ตลาดกว้างเพื่อทดสอบฝีมือการขโมย ส่วนตนเองเดินหายไปอีกทาง

เมื่อโดนปล่อยเคว้งไว้กลางตลาดใหญ่แล้ว เขาก็เริ่มรู้สึกใจฝ่อเล็กๆ ตลอดมาจะมีแผ่นหลังใหญ่คอยนำหน้า และพาวิ่งอยู่ตลอด แต่วันนี้…ไม่มีแล้ว

น้ำลายถูกกลืนลงคอเอื้อก สูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเดินเข้าตลาดไปอย่างปกติที่ทำอย่างทุกวัน…

วิธีเลือกเหยื่อ

เสียงของโยชาแว่วเข้ามาในหัว

ต้องเลือกคนที่เจ้ามั่นใจว่าจะขโมยได้อย่างแน่นอน เช่น คนแก่หรือคนกำลังยุ่งง่วนกับอะไรซักอย่าง เมื่อเลือกแล้วก็สังเกตุซะว่า เขาแข็งแรงแค่ไหน อ่อนแอกว่าเจ้าหรือเปล่า จะหนีได้ทันไหม  เมื่อมั่นใจแล้วก็…ลงมือ

ดวงตาสีเขียวมองไปรอบๆ…คนแก่..คนแก่….จนกระทั่งเจอคนแก่ที่ดูจะใจดีคนหนึ่ง แต่ร่างเขาสูงใหญ่กำยำอย่างคนใช้แรงงาน  แต่ก็ยังเฝ้าสังเกตต่อไป…

 

เหยื่อที่คาซีลได้เลือกไว้คนนี้กำลังนั่งห่อเหี่ยวอยู่เงียบๆ และมองทะเลอย่างเหม่อลอยราวกับหมดอาลัยตายอยากในชีวิตแล้ว… ถุงเงินที่พันกับเอวไว้ก็ดูมีไม่มาก และเขาก็ดูไม่มีกะใจจะทำงานหาเงินเพิ่มเหมือนคนอื่นๆ…

เด็กชายก้าวเข้าไปใกล้เรื่อยๆ….

วิธีฉกตัง

เสียงของโยชาลอยเข้ามาในหัวอีกครั้ง

เจ้าต้องทำให้เร็วและไวเหมือนตอนแทงปลาในทะเล รู้ไหมไอ้หนู  ขั้นแรก ต้องเข้าให้ใกล้ที่สุด

คาซีลเดินเข้าไปใกล้ลุงแก่คนนั้นเรื่อยๆด้วยใจที่เต้นระทึก เขาพยายามจะเดินให้เป็นปกติธรรมชาติ อย่างที่เด็กๆเล่นกัน เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต แต่สิ่งที่ปรากฏออกมามันขัดกันลิบ เด็กชายเดินแข็งเหมือนเป็นตระคริว และโดยไม่ได้ตั้งใจสะดุดล้มใส่เป้าหมายพอดี มือก็ไปคว้าเอาถุงเงินตามความเคยชิน แต่ลืมฉกฉวยเก็บซ่อนไว้อย่างที่ควร

แรงโดนล้มใส่เรียกให้นัยน์ตาที่เริ่มมีแววหันกลับมามอง ในตอนแรกชายแก่มุ่นคิ้วก่อนจะส่ายหน้า

 

“เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ไปเที่ยวเล่น มาหัดขโมยเงินคนแก่”… ผู้พูดลุกขึ้นนั่นทำให้เห็นว่าลุงคนนี้ไม่ได้ดูอ่อนแรงเหมือนตอนนั่งเลยแม้แต่นิดเดียว…

ซวยแล้วตัวข้าเอ๊ย……..

“ทะ..ท่านลุงเข้าใจผิดแล้วขอรับ…คือ…ข้าแค่ตะคริวกิน แล้วก็บังเอิญล้มไปโดนท่านลุงเท่านั้นเอง” รอยยิ้มแห้งจ๋อยหมาหงอยถูกนำขึ้นมาใช้อย่างที่ซ้อมหน้ากะละมังใส่น้ำแล้วคิดว่าดูน่าสงสารก่อนจะยื่นถุงเงินคืนให้ “ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ…นะขอรับ…”

ชายแก่คนนั้นมองตัวเด็กหนุ่มอยู่นาน…ซักพักจึงยกมือขึ้น…

แย่แล้ว…แย่แล้ว โดนฟาดแน่

ในขณะที่กำลังจะหันหลังแล้ววิ่งหนี มือใหญ่ก็วางลงมาบนผมสีดำตัดสั้นและยุ่งเหยิงของเด็กหนุ่มจนยุ่งเข้าไปอีก…

“มีบ้านหรือเปล่า ไอ้หนู”… เขายิ้มอ่อนโยนขึ้นมาทันทีทำให้คาซีลรู้สึกประหลาดใจ…

“…อะ…เอ่อ…..ไม่มีขอรับ…”  คำพูดโกหกออกจากปาก สีหน้าแกล้งเศร้าอย่างที่ได้หัดมาจนคิดว่าน่าสงสารที่สุดแล้ว….

“มิน่า ถึงทำตัวอย่างนี่…มานี้ ข้าจะดูแลเจ้าเอง” ชายแก่แข็งแรงอุ้มเด็กอายุสิบเอ็ดปีขึ้นก่อนจะเดินจ้ำๆฮึดไปยังบ้านของตน…

นั่นทำให้คาซิลตกใจมาก “….ละ..ลุง! ตะ..แต่ข้ายังมีแม่นะขอรับ..!!” ด้วยความลนลานจึงโพล่งออกไป ทำให้การก้าวเดินนั้นหยุดชะงักก่อนจะมองสบตากัน…

“งั้นไปบอกแม่เจ้าด้วยกัน ว่าข้าจะสอนให้เจ้าทำมาหากิน!” ชายแก่ที่ทำหน้าเศร้ามาตลอดยิ้มร่า “แม่เจ้าอยู่ไหน..?”

นิ้วเล็กๆชี้ไปที่ทะเล “แม่ของข้าหาปลาอยู่……”  ตาโตสีเขียวมองใบหน้าของคนที่อุ้มตนอยู่ สีหน้าดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันทีก่อนจะก้าวเดินดุ่มๆไปยังชายทะเล

เขาวางคาซีลลงเพื่อที่จะให้เด็กน้อยวิ่งไปหาแม่ของตนที่ก้าวเดินขึ้นมาจากทะเลพร้อมกับปลาที่แขวนเชือกพร้อมขายแล้วในมือ “แม่!!” ขาที่เริ่มยืดยาวตามวัยวิ่งไปกอดเอวของหญิงสาว นางย่อตัวลงรับกอดนั้นไว้ก่อนจะเงยหน้ามองคนแปลกหน้า

ชายชราที่ยังคงแข็งแรงเหมือนชายหนุ่มเดินเข้าไปหาพร้อมรอยยิ้มกว้าง “ข้าชื่อ อิดาห์ แม่หญิง.. เป็นช่างไม้อยู่ที่ชานเมืองฝั่งโน้น เจ้าว่าอย่างไรหากข้าจะขอรับลูกของเจ้าไปสั่งสอนวิชาไม้เสียหน่อย ได้หรือไม่..?”

แม่ของเด็กน้อยได้ฟังก็ตาโต การได้ร่ำเรียนไม่ใช่สิ่งที่นางจะหาให้ลูกของนางได้ เธอลุกขึ้นยืนมือยังจับจูงมือเล็กไว้ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้า วีลนาค่ะ” รอยยิ้มดีใจผุดขึ้นบนใบหน้า “แต่ข้าเกรงใจท่านนายช่างเหลือเกิน อยู่ๆมารับลูกของข้าไปสอน ข้าไม่มีเบี้ยเงินหรือค่าตอบแทนใดๆให้ท่าน”

“อย่าได้ห่วงไปเลยแม่หญิง แค่เด็กน้อยคนนี้มาร่ำเรียนกับข้าก็ถือเป็นค่าตอบแทนแล้ว” รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของอิดาห์ “เขามีความคล้ายคลึงกับหลานของข้าที่หายไปกับทะเลเหลือเกิน” เสียงในช่วงท้ายเบาลง…

คาซิลยังไม่เข้าใจคำว่าหายไปในทะเลเท่าใดนัก..

หากแต่แม่ของเขาเข้าใจเต็มอก…

“ถ้าเช่นนั้นข้าขอฝากลูกของข้าด้วย ท่านนายช่าง” นางจัดผมของนางให้เรียบร้อยก่อนจะย่อลงเพื่อขอบคุณ “แล้วข้าจะไปเยี่ยมเขาทุกเย็นหลังตลาดวาย” วีลนาดึงเด็กน้อยมากอดแล้วหอมแก้ม “แล้วแม่จะเอาอาหารเย็นไปฝากนะ ตั้งใจเรียนกับนายช่างด้วย”

เดี๋ยวนะ…

นี่ข้าต้องไปเรียนวิชาไม้เหรอ…?

คาซีลยืนงงๆแต่เมื่อแม่ของตนบอกให้ไป เขาก็ไป.. โดยมีสายตาของโยชาที่มองอย่างสงสัยว่า เด็กในกลุ่มของเขาไปขโมยท่าไหนถึงได้ไปเรียนวิชาหากินได้เสียอย่างนั้น….

ไม่เพียงแค่นั้น…

นายท่านช่างไม้ยังสอนให้เด็กน้อยอ่านออกเขียนได้อีกด้วย

ในทุกเช้าชายชราจะพาเขาไปที่หาดทรายพร้อมทั้งกิ่งไม้ยาวและสอนให้อ่านอักษร….

“ตัวเอ…เขียนอย่างนี้” ไม้ยาวปักลงบนทรายก่อนจะลากให้ปรากฏเส้นประกอบกันเป็นตัวอักษร และต่อไป ตัวบี ตัวซี จนถึงตัวแซด… หากเขียนผิดก็ลบเขียนใหม่ได้โดยไม่ต้องเปลืองกระดาษ…

การจับเจ่าอยู่ที่ทรายและตัวอักษรทั้งวันทำให้เด็กน้อยเบลอนิดๆ แต่ก็สามารถอ่านและเขียนตัวอักษรทั้งหมดได้อย่างครบถ้วยภายในวันเดียว  นั่นยิ่งทำให้นายช่างปลาบปลื้มใจยิ่งนัก วันเวลาผ่านไปวันแล้ว วันเล่า จนสามารถอ่านประโยคเป็นคำง่ายได้แล้ว คาซีลจึงถามชายแก่ขึ้น

“ทำไมถึงรับข้ามาสอนหนังสือละขอรับ..?” เขาเงยมองด้วยแววตาใสแป๋ว ทำให้นายช่างยีหัวด้วยความเอ็นดู

“เจ้าคล้ายหลานของข้านัก เครซ… แต่หลานข้าไม่ทันอยู่ให้ข้าสอนหนังสือ เลยต้องมาสอนเจ้าแทน… เอาล่ะ เจ้าคงเบื่อตัวอักษรพวกนี้แล้ว ไปจับเครื่องมือกันดีกว่า”

อิดาห์พาเด็กน้อยไปยังที่ทำงานของเขา มีอุปกรณ์ทำงานไม้เต็มไปหมด  การเรียนรู้การใช้อุปกรณ์พวกนี้ง่ายกว่าการเรียนด้วยตัวหนังสือมากนัก

เหมือนการเรียนว่ายน้ำ หากทำได้ครั้งหนึ่งแล้วก็ยังจะทำได้อีกในครั้งต่อๆไป การประกอบเก้าอี้ตัวเล็กๆใช้เอง การทำหีบใส่ของ การต่อโต๊ะ การประกอบถังลังทำไวน์ ความรู้เรื่องไม้และความสามารถในการช่างไหลเข้าสู่เด็กน้อย…

จากเด็กน้อย เริ่มเติบโตเป็นวัยรุ่น แต่กระนั้น ระหว่างที่กำลังตอกไม้โป๊กป๊าก โยชาก็ยังมาหิ้วคาซิลไปเป็นขโมยอยู่ดี

มันเป็นช่วงเวลาที่อิดาห์ปล่อยให้เด็กในความดูแลของเขาไปวิ่งเล่นตามประสาเด็ก พี่ชายใหญ่ก็ใช้โอกาสนี้ถือเป็นเรื่องเล่นสนุก ใช้ให้ไปขโมย สะเดะกุญแจอยู่เรื่อยไป  และน่าแปลกใจนัก มันมักจะสำเร็จทุกครั้งโดยที่คาซีลไม่โดนจับได้

ทักษะการแสดง การโกหกของเขาเพิ่มขึ้นพรวดพราด ถามว่ารู้สึกผิดไหมที่ต้องโกหกนายช่าง…ตอบเลยว่าไม่..  อาจจะเพราะการเลี้ยงดูมาแบบผิดๆของโยชา ทำให้สามัญสำนึกบางอย่างของคนปกติที่ควรจะมีนั้น

…ไม่มี…

แต่ถึงจะมีการขโมยทุกวัน แต่สิ่งหนึ่งที่โยชาไม่ขาดตกบกพร่องเลยก็คือ การสอนให้เด็กน้อยจับปลาและหาไข่มุกได้… ลึกๆในใจของชายหนุ่มแล้วก็ยังคงทำหน้าที่ที่ๆได้รับปากกับวีลนาได้เป็นอย่างดี…  การสอนใช้ใช้ชีวิตร่วมกับทะเล เป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญที่ชาวฟินเชอรี่ทุกคนต้องทำได้…


 

อายุ 15 สถานะ ลูกเรือฝึกหัด

ในขณะที่กำลังกลับเข้าบ้านในเย็นวันหนึ่งที่คาซีลไม่ได้กลับมาพักใหญ่ๆเพราะมัวแต่ไปเที่ยวเล่น พี่สาวข้างบ้านวิ่งมาด้วยสีหน้าแตกตื่น

“คาซีล! แม่ของเจ้า แม่ของเจ้า!!” นางวิ่งมาหยุดหอบตรงหน้าเขาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก

“พี่ยารี ใจเย็นๆ หายใจเข้าลึกๆ แม่เป็นอะไร” เด็กหนุ่มจับไหล่ของนาง เพื่อให้สงบอารมณ์ลง ใบหน้าสวยซีดและเหงื่อไหลซึม ดวงตากลมโตมองลงมายังเด็กน้อยที่ตอนนี้สูงเกือบจะเท่านางแล้ว

 

“แม่ของเจ้า……หายไปในทะเล!”

อะไรนะ….. หายไปในทะเล….!

เขาละจากพี่สาวทันทีแล้ววิ่ง วิ่ง วิ่ง ไปยังชายหาดที่แม่ของเขาไปดำน้ำทุกวัน… สายตาพบชาวประมงที่รู้จักกันมากมายดำผุดดำว่ายช่วยกันหาอยู่ไม่ขาด

“มีใครเจอวีลนาหรือยัง!!” เสียงตะโกนถามกันไปมาลั่นไม่ขาดสาย  คาซีลรีบกระโดดลงไปในทะเลและว่ายน้ำอย่างคล่องแคล่ว

แม่… แม่…

อยู่ไหน………

จวบจนพระอาทิตย์ตก ท้องฟ้ามืดค่ำทุกคนก็ล้มเลิกการค้นหา… โยชาต้องลากคาซีลกลับบ้าน.. เด็กหนุ่มน้ำตานองหน้าปนกับน้ำทะเลที่อาบตัว….

พี่สาวเล่าว่า แม่ของเขาไอมาสองสามวันแล้ว แต่ก็ยังฝืนไปลงทะเลเพราะจำได้ว่า ตนจะกลับมาวันนี้..แม่อยากไปหาปลาตัวใหญ่ๆมาให้เขากิน และจับหอยนางรมที่เขาชอบมาขึ้นโต๊ะกินข้าวเล็กๆของเรา….

ได้ยินแบบนั้นเด็กหนุ่มยิ่งร้องไห้….

เขาไม่เคยสูญเสียอะไรมาก่อนในชีวิต…..

และสิ่งแรกที่หายไปคือ….แม่….ของเขาเอง…

มือที่เริ่มใหญ่ขึ้นเก็บของของมารดาลงหีบใบเล็ก น้ำตาได้แห้งไปแล้วเหลือแต่ความเศร้าหมอง… ในขณะที่สะบัดผ้าคลุมเตียง ถุงกำมะหยี่เล็กๆก็กระเด็นออกมา..

 

“อะไร…?” เขามุ่นคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะก้มลงหยิบถุงนั้นขึ้นมาแล้วเปิดออกดู…ข้าในมีต่างหูห่วงทองคู่หนึ่ง

 

และมีโน๊ตเล็กๆเขียนไว้…

“แด่ วีลนา…ที่รัก”

เขาพอจะเดาได้ว่าใครให้…… พ่อที่ไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็นอีกเลยตลอดสิบกว่าปีนี้…. คาซีลส่ายหน้า ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วตรงไปหาพี่สาวข้างบ้านที่อยู่รอเพื่อเขาเสมอ…

ไม่ต้องเคาะประตูด้วยซ้ำ ขาก็ก้าวไปในบ้าน รับกอดจากยารีเพื่อปลอบเขา…

 

“พี่…เจาะหูให้ข้าหน่อย..”  พร้อมกับยื่นถุงต่างหูให้…. และจากวันนั้น…ห่วงทองคู่นี้ก็อยู่กับตัวเขา…ตลอดไป…

แต่ถึงอย่างนั้น เด็กหนุ่มก็รู้สึกเคว้งคว้างไรจุดหมายเหลือเกิน…เขาเดินเหม่อไปเรื่อยๆตรงไปยังท่าเรือ…และได้พบกับโยชาที่กำลังคุยกับลุงคนหนึ่งที่ดูท่าทางจะเป็นกัปตันเรือ…เมื่อเห็นคาซีลจึงรีบลากคอเข้าให้มาหาอย่างกระตือรือล้น

“นี่ลุง ข้าจ่ายให้แล้ว เอาไอ้หนูเครซของข้าขึ้นเรือไปด้วยนะ อยู่บ้านมันมีแต่จะหมดอาลัยตายอยาก”… กว่าที่เขาจะได้โต้แย้งหรือขัดขืน ร่างกายที่กำลังโตก็ลอยหวือขึ้นเรือไปแล้วด้วยแรงอันมากมายของกัปตันผิดกับอายุเหลือเกิน

“ได้เลย ไอ้หนุ่ม ข้าจะดูแลอย่างดี มา เครซ ข้าจะสอนเจ้าใช้ชีวิต”…รอยยิ้มร่าและเสียงหัวเราะดังของลุงที่ล็อคคอเขาอยู่ทำให้สะดุ้งขึ้นมาว่าตอนนี้ตนอยู่บนบันไดเรือ และโดนดึไปยังกาบเรือเรื่อยๆ…ในที่สุด…กว่าจะรู้ตัว สองมือของเขาก็กำลังกำเชือกเพื่อผ่อนใบเรือแล้ว…และแล่นออกจากฝั่งเรียบร้อยแล้ว

ถามข้าบ้างไหมโยชาโว้ยยยยย ถามน่ะ ถามมมม เจ้าถามข้าเป็นไหม…

โว้ยยยยยยยยยยยยย!!!!


 

อายุ 19 สถานะ ลูกเรือบลูไวเปอร์

ณ ริเบอโร่…

เครซจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองขึ้นเรือของใครมาหล่นแหมะที่นี่…  แต่เขารู้อย่างหนึ่ง….

ลูก้า โมโรนี่ เท่มาก…

มีข่าวว่ากัปตันเรือบลูไวเปอร์เทียบท่าเรือที่นี่ เขาเคยได้ยินชื่อและมองไกลๆอยู่หลายครั้ง… เรียกได้ว่าชายหนุ่มลอบสังเกตและรวบรวมข่าวของคนคนนี้มาซักพักแล้ว…

…..และการติดตามก็ดำเนินต่อไป….

 

และหลายครั้งที่ชายคนนั้นยิ้ม…ทำให้เขาคิดถึงรอยยิ้มของโยชา…. เมื่อมานั่งคิด..นอนคิด แล่นเรือคิด…เขาพึ่งรู้ว่า การที่อีกฝ่ายผลักไสขึ้นเรือ เพื่อเป็นบทเรียนข้างถนนสุดท้ายแก่เขา

 

อย่าจมกับอดีต…และมองไปข้างหน้า  เอาชีวิตรอด…

ยามค่ำวันหนึ่ง เครซอยากจะหาอะไรดื่มเล่นแก้เบื่อซักหน่อย เขาเปิดประตูก้าวเข้าไป สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาคือ แผ่นหลังและเส้นผมยาวที่คอยตามมองมาตลอดในช่วงนี้…

ลูก้า

การพบกันในร้านเหล้านั้นตื่นเต้น…หากเขาเป็นฝ่ายที่ลอบมองคนที่กำลังตะลุมบอลอยู่ร้านเหล้า… เมื่อเห็นว่ามีคนจะลอบกัดข้างหลังเขาจึงแอบช่วยเหลืออย่างเงียบๆ….

และไม่คาดคิด… ชายคนที่เขาชื่นประกาศรับลูกเรือ

 

รอช้าทำไม……

โอกาสมาแล้วนะ….ไปคว้าไว้เร็ว!

และการต่อแถวเพื่อพูดคุยกับลูก้า โมโรนี่ ก็เริ่มขึ้น

Thankgiving-Royalnavy

Words 4038

Character วาคิมอส รีส ลูก้า เอนดี เจอร์รี่

Thankgiving

“ไม่ใส่ชุดสตรี!”  ข้าพบตัวเองอยู่ในร้านจำหน่ายชุดหรูย่านคนรวยใจกลางเชวาเรีย พร้อมทั้งพันจ่าเอก วาคิมอสจอร์เดนที่หยิบชุดกระโปร่งหรูหราขึ้นทาบไหล่ของข้า

“ใส่ซะ ข้าสั่ง” เขาเอ่ยย้ำก่อนจะหันไปกระซิบกระซาบกับหญิงสาวเจ้าของร้านเพื่อให้ข้ายอมใส่ให้ได้…

แน่นอน ใครจะยอม!

มือฉวยคว้าเอาชุดบุรุษแถวนั้นขึ้นมาส่งๆและประกาศว่าจะใส่ตัวนี้เท่านั้น หากแต่ว่าผู้ขายชุดนั้นปราดเข้ามาและคะยั้นคะยอให้ข้าถือติดมือเข้าไปในห้องลองชุด….

ไม่เคยคิดฝันว่าจะมาเจอเหตุการณ์โดนบังคับใส่ชุดสตรีชั้นสูงแบบนี้…..

——-

ย้อนกลับไปราวสิบวันก่อน…

“ฟินเชอรี่!!!!”

ข้าได้ยินใครซักคนแหกปากตะโกน ได้ยินเสียงไม้พาดกะไดเรือ เสียงเฮขึ้นฝั่งของลูกเรือคนอื่นๆ และใช่ข้าก็เฮไปกับพวกเขาด้วย

ฟินเชอร์รี่สำหรับบางคนก็คือบ้าน…

และแน่นอนสำหรับข้าด้วย  กลิ่นลมทะเลและคาวปลาที่คุ้นเคยลอยเข้าแตะจมูก หลับตาสูดมันซักพักก่อนจะลืมขึ้นมองไปยังจุดหมายบนบก วิวทิวทัศน์ที่เห็นแต่ยังเด็กอย่างไร ตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิด ผู้คนค้าขายจับปลา แผงขายไข่มุกเนื้อดี มีให้เห็นประปรายเต็มท่าเรือก่อนจะเป็นทางทอดยาวเข้าไปสู่ตัวเมือง

 

“เจอร์รี่” หันไปเรียกหัวหน้างานตัวเล็กของข้าก่อนจะยิ้มแป้น “ข้าจะกลับไปนอนบ้านซักสองหรือสามวันนะ” เมื่อเจ้าของชื่อรับคำ สองขาก็ก้าวเดินลงจากเรือ มุ่งสู่บ้านของตน

บ้านของข้าอยู่คาบเกี่ยวระหว่างท่าเรือและตลาด อ่อใช่ และห่างจากสถานเริงรมณ์ชนิดต่างๆไม่มากนัก ระหว่างทางก็พบเจอผู้คนที่คุ้นตาอยู่บ้าง เอ่ยทักทายและยิ้มให้ตามปกติ

ระหว่างทางก็ติดนิสัยขี้ขโมยเล็กขโมยน้อยไม่หาย มือฉวยเอาถุงตังเล็กๆจากเศรษฐีที่เดินสวนไปอย่างเบาหวิว เงินกำเล็กๆนี่ขนหน้าแข็งหมูตอนนั้นไม่ร่วง และคงไม่เดือดร้อนอะไรมากมาย ข้าแวะแผงแอปเปิ้ลใกล้ๆก่อนจะซื้อมาห้าหกลูกเพื่อไว้กินรองท้องตอนอยู่บ้าน

‘คืนนี่น่าจะแวะดื่มเหล้าให้เหมาหยำ…’ คิดอะไรก็ออกบนใบหน้าหมด ตอนนี้รอยยิ้มร่าอามรณ์ดีเผยชัดอยู่จนหลายคนแถวนั้นแอบขำ

เดินไปซักครู่จากแผงขายผลไม้ไม่ไกลก็ถึงย่านอาศัยของคนแถวนั้น ขาก้าวฉึบๆฮัมเพลงไปก่อนจะหยุดที่หน้าประตู ข้ามองซ้ายขวาชะโงกไปบ้านข้างๆเพื่อหาคนคุ้นเคย แต่ก็รู้สึกว่าพวกเขาจะไม่อยู่กัน… สงสัยแค่ชั่วครู่ว่าหายไปไหนกันก่อนจะหยิบกุญแจขึ้นไขประตูเข้าไป

‘แกร๊ก’

‘….แอ๊ด..’

 

ประตูเปิดออกเห็นไรฝุ่นจางๆไม่หนานักอยู่ตามพื้น…ถ้าวัดตามเวลาที่ไม่ได้กลับมาเหยียบบ้านแล้วนี่ถือว่าสะอาดมากทีเดียว…

“มีคนมาทำความสะอาดให้ด้วย…?” สายตามองไปรอบๆสำรวจความว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรของบ้าน ที่ดูเหมือนเป็นปกติ… หีบของใช้ของแม่ยังอยู่ที่เดิม เครื่องครัวถูกวางไว้เป็นระเบียบซึ่งล่าสุดก็จำไม่ได้แล้วว่าตัวเองวางส่งๆไว้ยังไง

รอยยิ้มผุดขึ้นนิดๆเมื่อนึกรายชื่อคนที่จะเข้ามาดูแลบ้านให้ได้น้อยชื่อนัก… “ไว้จะไปขอบคุณซักหน่อยแล้ว…อะไรดีนะ..บ๊ะ ช่างมันก่อนเถอะ” ย่ามถูกเหวี่ยงลงบนเตียงไม้แข็งๆที่มีผ้านวมบางๆปูไว้เท่านั้นก่อนจะปัดๆฝุ่นให้พอนอนได้

ก่อนจะวางแอบเปิ้ลถุงลงบนโต๊ะเล็กๆกลางบ้าน…มองรอบหนึ่งทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอีกครั้งเพื่อหาของไปเป็นมื้อเย็น..

เดินไปตามทางย่านร้านอาหาร ในขณะที่กำลังคิดว่าจะจัดอะไรลงท้องดี ก็โดนมือใหญ่ปิดปากจากข้างหลัง จะรอช้าอยู่ทำไมศอกใส่มันอย่างแรงก่อนจะจับทุ่มลงพื้นดังอั่ก…

แสงแดดยามเย็นเผยให้เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร..

วาคิมอส จอร์เดน…

“เอาสร้อยมาคืนข้าเหรอครับ คุณทหาร” ข้ายิ้มทักทาย มองคนที่โอดโอยเบาๆก่อนจะลุกขึ้นยืน “มาซะไกลมาทำอะไรที่ฟินเชอร์รี่..?”

“พูดมากจริงไอ้หนู…” ฝ่ามือขาวตบปั่กลงมากลางกะบาลของข้า “ทักทายกันดีๆไม่เป็นหรือไง..?” สายตาดุคมมองข้าตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะยิ้มเยาะออกมา

อะไรวะ…?

“คนดีๆที่ไหนจะเข้ามาปิดปากคนอื่นยามใกล้ดึกแบบนี้ หืม”  มือกอดอกเลิกคิ้วมองอย่างไม่ยอมแพ้ จ้องใบหน้าขาวที่ไม่ได้เห็นมานานหลายเดือนอยู่เหมือนกัน

ราชนาวีนอกเครื่องแบบยิ้มมุมปากขึ้นอีกครั้ง “แล้วคนดีที่ไหนจับคนอื่นทุ่มแบบนั้นกัน”

ข้ากลอกตารอบหนึ่ง “แล้วไง ธุระของเจ้าคืออะไร..?” เอ่ยถามย้ำอีกครั้งก่อนจะมองรอบๆท้องไส้ก็เริ่มหิวขึ้นมานิดๆจริงๆแล้ว

และเหมือนเขาจะรู้ว่าข้าหิว หรือจริงๆแล้วเขาก็หิว “แถวนี้มีอะไรกินบ้าง ข้าอยากกินอาหารทะเล ขอร้านติดทะเล” ….

หืม…

โทษทีนะครับ..ข้าเป็นคนใช้เจ้าเรอะ..?

มือยกขึ้นนวดขมับวูบหนึ่งก่อนจะเงยมองคนที่สูงกว่า… ถึงข้าจะสูงขึ้นมากแล้วแต่ก็ยังไม่เท่าวาคิมอสอยู่ดี

“ข้าอุสาต์ลาพักร้อนมาตั้งหลายวัน อยู่กับข้าก่อนจะเป็นไรไป…” ฝ่ายนั้นหยิบจี้สีเขียวขึ้นแก่งไปมาผ่านหน้าเจ้าของไปอย่างยั่วยุ  “พาไปกินข้าวแถวนี้หน่อยสิ เจ้าถิ่น” เขายิ้มมุมปาก “แล้วจะคืนของรักของหวงให้”

รอช้าอะไรล่ะ มือคว้าหมับเข้ากับจี้ทันทีแต่คนตัวสูงนั้นจับข้อมือข้าไว้แล้วแย่งมันกลับไปได้ในทันที

“ไหนร้านอาหารทะเลของข้า นำไปสิเร็วเข้า”  พร้อมกับหน้าตายิ้มได้ใจนั้นทำให้ข้ากัดฟันกรอดอยู่ในใจก่อนจะยิ้มออกมา..

“ได้…ได้! เจ้าเลี้ยงนะคุณทหาร!”

และข้าก็พาไปผลาญตังค่าอาหาร ใช่….ผลาญ… เรียกไม่ผิดหรอก แต่มันก็ไม่ได้กระทบกระเป๋าเงินของชายหนุ่มมากนัก

พวกเราสั่งกันคนละห้าอย่าง ถ้าจำไม่ผิด อีกฝ่ายดูจะชอบกุ้งลอบเตอร์อบชีสเป็นพิเศษ เขาสั่งไวน์แดง ข้าสั่งเหล้ารัมและปฏิเสธแก้วพร้อมกระดกขึ้นดื่มจากขวด

เขาปรามข้าเรื่องเมาเหล้า ซึ่งอย่างน้อยห้าขวดถึงจะทำให้ข้าเมาได้ แตกต่างจากตัวเองที่เพียงขวดเดียวก็หน้าแดงก่ำไปทั้งตัว

 

จากนั้นก็เป็นไปตามที่ข้าคิดไว้ วาคิมอสขอให้ข้าไปอยู่กับเขา  ซึ่งข้าทำไม่ได้  และเมื่อบอกปัดไป สีหน้าผิดหวังและเศร้าสร้อยก็แสดงออกมาวูบหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นนิ่งขรึมเหมือนเดิม

ข้าไม่อยากให้เขาเดือดร้อน และแน่นอน ยิ่งไม่อยากทำให้บลูไวเปอร์เดือดร้อนเพราะปัญหาส่วนตัว

ชายหนุ่มจ่ายเงิน และเดินหน้าแดงๆไปยังชายหาดโดยที่จับมือข้าเดินไปด้วยกัน วาคิมอสถามสารทุกข์ที่ผ่านมาห่างจากสายตาของเขานั้น เป็นอย่างไร

“สบายดี เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” นั่นเป็นคำตอบที่ข้าให้กับเขาเสมอ… อย่างน้อยคิดว่าอีกฝ่ายจะสบายใจขึ้นบ้าง และปกปิดความจริงเอาไว้เยอะโข..

เราคุยกันเรื่องความรู้สึกของข้า.. นึกสงสัยมานานแล้วว่านายน้อยจอร์เดนคนนี้คารมดีตั้งแต่เกิดหรือไปฝึกหัดจากที่ไหนม่ถึงได้ไล่ตอนให้ข้าแสดงอาการก้าวร้าวอย่างดึงอีกฝ่ายเข้ามาจูบเพื่อตัดบทได้

แน่นอน..ข้าไม่ชอบการถูกไล่ต้อนแบบนี้

สิ่งที่ข้าทำได้หลังจากนั้นคือเดินหนี และสิ่งที่ตามมาต่อไป อีกฝ่ายเดินขึ้นมาทันเขา พูดอะไรซักอย่างที่ทำให้คนฟังรู้สึกเขินก่อนจะก้มลงจูบแผ่วเบา…

และจากนั้น เขาก็แสดงอาการงี่เง่าเหมือนเด็กออกมาเมื่อข้าไปพูดอะไรซักอย่างทำให้เขาโกรธ… เกี่ยวกับตัวข้าเอง..อาจจะเพราะรัมที่ข้าจับกรอกปากคนคออ่อนก็เป็นไปได้… แต่ไม่นานชายหนุ่มก็สงบลงด้วยตนเองเช่นกัน…

ข้าปฏิเสธที่จะบอกที่อยู่บ้านของตนเอง

และปล่อยให้วาคิมอยู่ที่ชายหาดต่อไป

แต่เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้ง ข้ากลับพบว่า… นี่ไม่ใช่ห้องนอนข้า.. อาการมึนหัวเล็กน้อยบอกได้เป็นอย่างดีว่าตนโดนโปะยาสลบ…

คิ้วขมวดมุ่นเข้าหากัน…ใคร…?

สายตามองไปรอบๆห้อง เสียงคลื่นลอยเข้าหู ห้องที่โคลงนิดๆบอกได้เป็นอย่างดีว่าข้าอยู่ที่ไหน…

ข้าก้าวลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบมุ่งตรงไปยังประตู และเปิดออกเพื่อไปสำรวจโดยรอบก่อนจะพบคนที่คุ้นหน้าตา.. ขาตวัดเตะให้อีกฝ่ายกระเด็ดถอยห่างออกไปอย่างโมโห…

วาคิมอส!!

เขามุ่นคิ้วกุมท้อง..คงจะจุกล่ะสิ หึ!! ข้าไม่สนใจ แต่ก้าวฉับๆไปที่กาบเรือก่อนจะหันไปถามแทบจะเป็นเสียงตะคอก

“จะพาข้าไปไหน!!”

ร่างใหญ่สีขาวเดินมายืนข้างๆ “เชวาเรีย… มีงานเลี้ยงเล็กๆที่ข้าอยากพาเจ้าไปด้วย”

“แล้วชวนดีๆไม่เป็นหรือไง” ข้าถามไปอย่างเหลืออด ใครบ้างที่จะชวนคนอื่นไปไหนมาไหนด้วยวิธีนี้…มือยกขึ้นนวดขมับ นึกถึงเรือบลูไวเปอร์ขึ้นมาทันที เจอร์รี่จะวุ่นวายหรือเปล่านะถ้าข้าไม่กลับไปในสองสามวันอย่างที่บอกไว้….

“ชวนดีๆอย่างกับเจ้าจะมา…” ฝ่ายนั้นหายใจขึ้นจมูก….เหมือนจะเหลืออดกับข้าอยู่มากทีเดียว….

อะไรวะ

ข้าสิโว้ยที่ต้องเหลืออดไม่ใช่เจ้า!!

 

“ขอเหตุผลดีๆซักข้อซิ ทำไมเจ้าถึงทำเรื่องงี่เง่าแบบนี้”  หายใจเข้าออกทำตัวให้สงบ คิดถึงสถานการณ์ทั้งหลายที่จะเกิดขึ้น…แต่ยังไม่ทันจะได้มโนอะไร อีกฝ่ายก็สวมเข้ากอดจากด้านหลังพลางกระซิบเบาๆ..

“คิดถึง”….

…………

……………..

ข้าพูดอะไรไม่ออกไปสามนาที….

“งั้นมาตกลงกัน ข้าจะอยู่จนกว่าจะถึงงานเลี้ยงที่ว่านั่น แต่หลังจากนั้นข้าจะกลับทันที… ตกลงหรือเปล่า…?”

ข้ามองเขา…..วาคิมดูลังเล

“ตลอดไปไม่ได้หรือไง”……..มือข้ายกขึ้นนวดขมับอีกครั้ง….

“ก็ได้…หลังจบงานเลี้ยง…” ชายหนุ่มดูจะไม่เต็มใจนักที่จะพูดอย่างนั้นก่อนจะยื่นมือออกมาหา… ข้าจึงตบมือลงไปเบาๆเป็นสัญญาว่าจะไม่หนี…..

และนั่น…

ทำให้ข้าต้องมาติดแหงกอยู่ร้านเสื้อผ้าบ้าๆนี่!

“ไม่ใส่ชุดสตรี!”  มือปัดชุดฟูฟ่องสีทองออกให้พ้นสายตาไป

“ใส่ซะ ข้าสั่ง” เขาเอ่ยย้ำก่อนจะหันไปกระซิบกระซาบกับหญิงสาวเจ้าของร้านเพื่อให้ข้ายอมใส่ให้ได้…

แน่นอน ใครจะยอม!

มือฉวยคว้าเอาชุดบุรุษแถวนั้นขึ้นมาส่งๆและประกาศว่าจะใส่ตัวนี้เท่านั้น หากแต่ว่าผู้ขายชุดนั้นปราดเข้ามาและคะยั้นคะยอให้ข้าถือติดมือเข้าไปในห้องลองชุด….

ไม่เคยคิดฝันว่าจะมาเจอเหตุการณ์โดนบังคับใส่ชุดสตรีชั้นสูงแบบนี้…..

ข้ากัดฟันในใจก่อนจะหอบทุกอย่างเข้าไปในห้องลองเสื้อที่ค่อยข้างกว้างโข..มาพอสำหรับห้าคนกางแขนกางขาได้สบาย..

“เฮอะ พวกผู้ดีใส่ชุดเองไม่เป็น” บ่นๆซักพัก เจ้าของกระเป๋าเงินก็ก้าวเข้ามาและออกคำสั่งเปลี่ยนชุดให้เขาดู…

เดี๋ยวนี้!

……………

ในที่สุดข้าก็ชนะ ชูมือกู่ร้องในใจ

 

ได้ใส่ชุดบุรุษไปงานเลี้ยง ซึ่งได้รับการเปิดเผยภายหลังว่า เป็นงานของราชนาวี… ชิชะ นี่แทบจะเอาข้าไปแขวนคอในดงทหารเลยทีเดียว

หนอย วาคิม ไอ้ลุงโหดงี่เง่าเผด็จการเอาแต่ใจ…

 

ในที่สุด ข้าก็หอบชุดทั้งหมดกลับคฤหาสของพันจ่าเอกโดยดี แน่นอน ชุดสตรีด้วย

ในคืนนั้นเขาลอบเขียนจดหมายสั้นๆขึ้นมาฉบับหนึ่ง…

พี่เจอร์รี่

 

ตอนนี้พี่คงวิ่งหาข้าอยู่ เพราะข้าไม่ได้กลับเรือซักพักแล้วใช่หรือเปล่า.. พี่จำวันที่ข้าบอกว่าจะขอกลับไปนอนบ้านซักสามวันได้ใช่ไหม …

 

คือ..ข้าโดนโปะยาสลบแล้วหิ้วขึ้นเรือแล่นมาเชวาเรียแล้วล่ะ…

 

เขาบอกว่าจะให้ข้าอยู่จนกว่าจะถึงวันงานแต๊งกิ๊ฟวิ่งของราชนาวี….

 

แต่ไม่ต้องห่วงนะ ข้าไม่เป็นไร ฝากเจ้าบอกกัปตันด้วยว่าข้าอยู่ไหน… ขอบคุณครับ

เอ่อ..ข้าจะพยายามหนีให้ได้..

เครซ

และเมื่อรุ่งเช้ามาถึง ข้ารอจนกระทั่งพันจ่าเอกวาคิมอส จอร์เดนไปทำงาน จึงแอบสายตาพ่อบ้านและสาวใช้ไปยังโรงเลี้ยงนก ก่อนจะเรียกมาตัวหนึ่งแล้วสอดจดหมายเข้าไปในปลอกเท้า กระซิบบอกจุดหมาย จากนั้นจึงปล่อยมันบินออกไป…

มองมันจนลับสายตาก็ได้ยินเสียงพ่อบ้านเรียกหาเขา…

ได้เวลาทำตัวเป็นเด็กน่ารักให้ผู้ใหญ่ชื่นชมซะแล้ว…

สิบวันที่อยู่ในบ้านจอร์เดน ข้าทำตัวน่ารักเท่าที่จะทำได้ เหตุผลก็มีไม่มาก..แค่อย่าทำตัวเด่นก็เพียงพอและดูเหมือนว่าเจ้าบ้านจะพอใจไม่น้อยที่โจรสลัดสามารถทำตัวไม่ก่อปัญหาได้

และในที่สุดก็ถึงวันงาน…

ข้าเข้าไปในนามของ คาอิล ลูกชายคนเดียวของท่านขุนซีมัวร์ ผู้เป็นที่ปรึกษาทางการเมืองของเชวาเรีย และเป็นเพื่อนสมัยเด็กของ “ท่านพี่วาคิม” เสียด้วย

เสื้อเชิ้ตสีขาวเสื้อกั๊กสีทอง เส้นผมถูกจับเสยขึ้นให้เข้ากับชุดหรูหรา รอยยิ้มที่ปั้นแต่งขึ้นอย่างเคยชินถูกนำมาใช้ การเล่นละครที่พับเก็บไปนานแล้วได้รื้อเอาหน้ากากออกมาสวม

คำพูดสละสลวยของชนชั้นสูงที่เคยแอบเรียนมาก็ได้ใช้อย่างไม่เคอะเขิน

ข้าตรงไปยังซุ้มเครื่องดื่มเพื่อหยิบไวน์แดง..และตรงไปยังชุดอาหารทะเลจานใหญ่โดยมีพันจ่าเอกเดินตามไม่ห่าง

ในขณะนั้นเอง สายตาก็เหลือบไปเห็นคนคุ้นตา…

ต้นหนของเขา  รีส…

ใช่ป่าววะ… ดวงตาหรี่ลงมองเนื่องจากกว่าอีกฝ่ายแต่งตัวเป็นสตรีจึงทำให้จำได้ยากนัก…แต่..ก็ยังจำได้อยู่ดี รอยยิ้มนึกสนุกผุดขึ้นมุมปากก่อนจะยื่นของทั้งหมดให้วาคิมอสถือแล้วพุ่งตรงไปหาทันที

“สวัสดีขอรับท่านหญิง” ข้ายิ้มกว้าง โฉมข้าไม่เปลี่ยนมากนักนอกจากทรงผม ทำให้คนตรงหน้าจำได้ทันทีว่าใครทักเขาก่อนจะทำสีหน้าดีใจและอุทานออกมาเบาๆ

“เจ้—-”  เขาชะงักไปก่อนจะยิ้มน้อยๆแล้วย่อตอบอย่างชำนาญ “สวัสดีค่ะท่านชาย”

คุยกันไปซักพักท่านหญิงริซ่าก็ค้อนขวับใส่และเรียกหาราชนาวีที่บังอาจชิงตัวอย่างอุกอาจเช่นนี้เขาเรียกให้ชี้ให้ดูเสียหน่อยอยากจะเห็นหน้าเหลือเกิน…

ได้..ถ้าอย่างนั้นข้าจะพาไป…….ใบหน้าผุดรอยยิ้มฮึฮึก่อนจะจูงมืออีกฝ่ายที่เล็กกว่าไม่มากแล้วพาไปหาวาติมอสที่ยืนรอและมองอยู่ด้วยสายตาดุดัน

“ท่านพี่วาคิม นี่คือท่านหญิงริซ่า เพื่อนของข้าเอง ท่านหญิง นี่คือพันจ่าเอกวาคิมอส”  ข้ารู้สึกได้ว่ารีสสะดุ้งเมื่อเห็นหน้าเขา แต่ก็รู้สึกได้อีกเช่นกันก่อนจะเปลี่ยนเป็นความอึ้งแล้วปรับสีหน้าทันทีเมื่อนาวีหนุ่มเอ่ยทักทาย

อยู่คุยอีกซีกพักก่อนจะปล่อยให้ทั้งคู่คุยกันไป…. โดยข้ออ้างคือจะไปหยิบน้ำส้มให้คุณผู้หญิง

จากนั้นข้าก็ไปแถวๆฟลอร์เต้นรำ…

พบเอนดีเข้าให้

นางดูจะถามข้าเรื่องจดหมาย แต่ก็ยั้งไว้ก่อน “ไว้ข้าจะไปอธิบายเรื่องนี้กับ ‘ท่านพ่อ’ บนเรือที่เดียวเลยแล้วกัน ท่านหญิง”

ท่านพ่อที่ว่าคือลูก้า กัปตันเรือบลูไวเปอร์ของเรา

ข้าขอนางเต้นรำซักครึ่งเพลง…ครึ่งเพลงจริงๆเพราะนางนั้นเต้นไม่เป็น…

จริงๆก็เริ่งสงสัยขึ้นมานิดหน่อยแล้ว..ว่าบลูไวเปอร์มางานนี้กี่คน….

เมื่อผละจากหญิงสาวมาได้ ข้าก็มองไปยังซุ้มอาหาร….พูดถึงกับตันเมื่อครู่ กัปตันก็มา.. เลยไปอีกนิดก็ท่านรองกัปตันแสนกินเก่งที่มีน่องไก่อยู่ในมือและดูจะไม่สนใจอะไรนอกจากกิน และกิน

ข้าได้ตรงเข้าไปยืนข้าๆและเอ่ยทักทาย….กัปตันดูจะสงสัยอะไรอยู่มากกับกรณีของข้า…

 

เป็นใครจะไม่สงสัยกัน…

เขาบอกให้ข้าออกจากงานเมื่อมีโอกาส รถม้าสามคันที่อยู่หน้างาน สารถีที่รู้ทางไปยังที่จอดเรือ

เดี๋ยวก่อน….สามคัน…เลยรึ นี่พวกเรามางานนี้กันเยอะมากแค่ไหนกัน…

มือใหญ่วางบนบ่าของข้าเบาๆ

“ท่านจะกลับเลยหรือเปล่าครับ ข้าเจอพวกเราค่อนข้างเยอะอาจจะกลับกับใครซักคนที่มางานนี้”

“ข้าจะอยู่ทำอะไรอีกซักพัก เจ้าไปก่อนได้เลย” เขาพูดจบข้าก็เดินออกจากตรงนั้นไปยังซุ้มดนตรี…

จนได้พบชายที่มักจะซ่อนดวงตาไว้ภายใต้หน้ากากนั่นตลอดเวลา

เจอร์รี่…คนที่เขาส่งจดหมายไปหา…

เดินย่องเข้าไปด้านหลังชายสวมหน้ากาก่อนจะปิดตาของอีกฝ่าย “จำข้าได้หรือเปล่า?” น้ำเสียงแกล้งหลอกให้อีกฝ่ายตกใจเล่น

นายช่างลังไม้หันมากอดเขาแน่ “ข้าเป็นห่วงเจ้าแทบแย่ ปลอดภัยใช่หรือเปล่า ไม่บาดเจ็บใช่ไหม…?”

“ไม่เป็นไร และข้าเจอกัปตันแล้ว พร้อมกับเส้นทางการกลับเรือ ข้าคิดว่าการออกจากงานพร้อมกันหลายๆคนดูจะเป็นที่สังเกตเกินไปสำหรับพวกเรา ดั้งนั้นข้าจะออกไปกับท่านหญิงริซ่า” ข้าขยิบตาให้

“มองไปที่ฟอร์เต้นรำ หากนางไม่อยู่แล้วแปลว่า ข้าได้ออกจากงานไปแล้วเช่นกัน” ข้ากอดเจอร์รี่อีกครั้ง เขาเป็นห่วงข้ามากจริงๆ

“แล้วเจอกันบนเรือ”…ข้าโค้งลงอย่างสุภาพก่อนจะเดินออกไป…

กลับไปบอกลาวาคิมอส….

นี่เป็นการลาจากครั้งแรกที่ข้าอยู่รอเพื่อบอกลา หากเป็นยามปกติข้าคงหายไปทันทีที่มีโอกาสหนี  แต่คราวนี้มันต่างออกไป ข้าเริ่มมีควารู้สึกพิเศษให้เขา…

เขาอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดว่า “ย้ายไปโคเลดิต้ากับข้า…ได้ไหม ข้ากำลังจะย้ายไปประจำการที่นั่น”

ในทุกๆครั้งเขาจะได้รับคำปฏิเสธ แน่นอนครั้งนี้ก็เช่นกัน และรู้สึกได้ว่าการบอกปฏิเสธเขาจะยากขึ้นเรื่อยๆ… อาจจะเพราะสีหน้าและท่าทางที่เหมือนหมาใหญ่กำลังหูตกหงอยเหงาก็เป็นได้..

ข้าถอดจี้สีเขียวออกและมอบให้เขา…

รอยยิ้มของวาคิมอาผุดขึ้นจางๆ.. “แย่งกับข้าแทบตายจะมาให้กันง่ายๆแบบนี้เลย….?”

“เจ้าทำสีหน้าเช่นนี้แปลว่ารู้ความหมาย เพราะอย่างนั้นเก็บไว้”  วางจี้ลงกลางฝ่ามือขาวของอีกฝ่ายและพับนิ้วขึ้นให้กุมมันไว้ “แล้วข้าจะมาเอาคืน”…

และข้าจะกลับมาหาเจ้า…..

เขากอดข้าแน่นก่อนจะผ่อนออกช้าๆ… “รักษาตัวด้วย ขอให้เดินทางปลอดภัย”…นัยน์ตาสีฟ้าหลุบลงก่อนจะมองไปยังชายหาด…

ข้าสวมกอดแผ่นหลังนั้น… “ขอให้อยู่รอดปลอดภัย”…….และผินหลังเดินจากมาจากชายหาด…

ความรู้สึกเหมือนทรายที่เท้าดูดทุกย่างก้าวที่จากมา..จนกระทั่ง..คนที่เขาสัญญาว่าจะไปหยิบน้ำส้มให้ปรากฏตรงหน้า…

ท่านหญิงริซ่ายืนรอเขาอยู่

รอยยิ้มผุดขึ้นจางๆแล้วเดินไปหาและฉวยน้ำส้มแถวนั้นให้…

“เรามาเต้นรำกันซักเพลงดีหรือไม่ท่านหญิง….รอเวลา..แล้วค่อยกลับบ้านกัน” น้ำส้มถูกยกขึ้นจิบก่อนที่จะเหลืแต่แก้วและถูกวางส่งๆลงบนโต๊ะว่าง..

 

ข้ายื่นมือให้นาง นางยื่นมือให้ข้า แล้วเราก็เริ่มเต้นรำกันตามเสียงเพลง

รีสถามข้าหลายอย่างเรื่องวาคิมอส… โดยเฉพาะ “เขาจะทำเรื่องแยยนี้อีกหรือเปล่า…?”

“..เราตกลงกันแล้ว…เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก”…. กระโปรงของอีกฝ่ายหมุนเป็นวงสวยก่อนที่ข้าจะรับนางกลับมาเข้าจังหวะเหมือนเดิม

เมื่อเพลงจบ ข้าโค้งให้นางย่อรับ มือที่ยังจับกันอยู่นั้นพากันออกไปจากลานเต้นรำ ได้เวลาเลิกงานพอดีเช่นกัน ข้าได้ยิรเสียงคนพูดประกาศปิดงาน แต่ไม่ได้หันไปมองว่าใคร…ผู้คนเริ่มกลับบ้าน บ้างก็เมาจนนั่งอยู่กับมุมโต๊ะ มุ่งสู่รถม้าด้านนอกของงานที่กัปตันลูก้าได้เตรียมไว้

เราก้าวขึ้นรถ รีสยังคงถามไม่ปล่อยเรื่องราชนาวี ข้ารู้ว่าเขาเป็นห่วงและอยากรู้ให้แน่ชัดไปเลยว่าข้านั้นตัดสินใจยังไง….

คำตอบนั้นง่ายและชัดเจน…ข้า เลือกบลูไวเปอร์

รถม้าใช้เวลาซักพักในการแล่นมายังที่หมาย ข้าชอบที่จะพูดคุยเล่นกับรีส…บางครั้งมันก็ไม่น่าเบื่อ เมื่อก้าวลงจากพาหนะ ต้นหนในชุดสตรีก็ชี้ให้ดูว่ามีเรือเล็กเทียบท่าอยู่เพื่อนที่จะพาไปยังเรือใหญ่ที่อยู่ในทะเล

ชายหนุ่มเป็นห่วงคนอื่นที่ยังไม่ได้กลับมายืนตรงนี้ เขาบอกว่าจะตามไปดูคนที่เหลือ….และทิ้งให้ข้ารออยู่กับเรือบด…

โอกาสที่ข้าจะหนีทั้งจากวาคิมอส และจากบลูไวเหอร์ก็มีมากพอๆกัน  แต่ข้ากลับไม่ทำซักอย่างและปล่อยมันไปเรื่อยๆอย่างที่คิดแล้วว่าจะไม่มีใครเดือดร้อน…

ข้านั่งรออยู่ที่เรือบด นึกถึงสองที่ผ่านมาเป็นเวลาสิบวัน และเวลาในอนาคตต่อจากนี้ข้าจะเจออะไร..โดนลงโทษจากกัปตันหรือเปล่า…?

คิดไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งคนอื่นๆมาครบ ข้าหยิบไม้พาย ยีหัวของตนให้กลับมาทรงเดิม และจับไม้พาย จั่มฮึบออกไปกลางทะเล..

เพื่อกลับลูซี่…

———————–

สิ่งที่ข้าเรียนรู้ในวันนี้..และสองสิ่งที่จะไม่ทำหลังจากนี้เป็นต้นไป…

ไม่ให้ที่อยู่ของข้านั้นเดือดร้อน ในตอนนี้คือบลูไวเปอร์

หรือการทำให้วาคิมอส จอร์เดน เดือดร้อนเพราะตัวข้าเอง…