Who I am

Words 4204


อายุ 5 ปี สถานะ น้องชาย

ณ หน้าบ้าน

 

เด็กชายดันเตเลี่ยนตัวน้อยกำลังนั่งเล่นอยู่กับพี่ชายข้างบ้านที่แคร่นั่งหน้าประตู…ก่อนจะมีผู้ชายคนหนึ่ง ผิวขาว…ลักษณะดูมีเงิน ก้มลงมาหาเขา…  “แม่อยู่หรือเปล่า เจ้าหนู…”

เด็กน้อยพยักหน้าก่อนจะวื่งเข้าบ้านไป “แม่ แม่!! มีคนมาหาล่ะ แม่!!” เด็กชายที่อยู่ด้วยกันกลับไปที่บ้านของตนเอง ส่วนหญิงสาวผู้เป็นแม่ละมือจากงานที่ทำอยู่และตามเสียงเรียกของลูกชายออกมา

 

“ใครเหรอ คาซีล…?” นางเดินมามองชายคนนั้นก่อนจะนิ่งอึ้งไป…. เด็กน้อยไม่รู้ว่าแม่ของตนมีความรู้สึกอย่างไรต่อชายคนนั้น  เธอเรียกเขาเข้าไปกอดแล้วอุ้มขึ้น…

 

“นี่..ท่านพ่อ นะ..คาซีล…” หญิงสาวยิ้ม…

คนผิวขาวตรงหน้าทั้งคู่ก็ยิ้ม…เขาสวมสร้อยคอพร้อมจี้สีเขียวใส่คอไว้ให้เด็กน้อย.. “ของขวัญ..จากพ่อ”……

แต่เด็กน้อยเรียกคำว่าท่านพ่อออกจากลำคอไม่ได้เลย….

แต่แล้วอีกคนก็ปรากฏขึ้นข้างหลังชายหนุ่ม…

เด็กสาวที่สูงกว่าเด็กชาย….

“น้องชาย…ของข้าเหรอคะ…?”  เธอเดินเข้ามาใกล้…ดวงตาสีเขียวสองคู่สบกัน…. ก่อนรอยยิ้มตื่นเต้นจะปรากฏขึ้น.. “ข้าชื่อบริทจิต…เป็นพี่สาว”…

เด็กน้อยรู้สึกเขินอายจึงก้มหน้างุด….. “ขะ..ข้าชื่อ…คาซีล…..” ไม่ทันไรร่างเล็กก็ถูกอุ้มขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะของคนเป็นพี่สาว

“เราเป็น พี่น้องกันแล้วนะ!!”


อายุ 7 ปี สถานะ ชาวประมงฝึกหัด

ณ ชายหาด แหล่งไข่มุกของฟินเชอร์รี่

“เจ้าต้อง  สูดหายใจเข้าให้เต็มปอด” หญิงสาวดันตาเลี่ยนคนหนึ่งกำลังสอนเด็กชายให้ดำน้ำเพื่อเลี้ยงชีพ “แล้วผ่อนลมออกมาเพื่อทำให้ร่างกายของเจ้าชินกับน้ำ แบบนี้” นางหายใจเข้าลึกๆ ให้หนูน้อยทำตาม จากนั้นจึงจับมือเล็กๆไว้ก่อนจะพาลงดำน้ำเพื่อผ่อนลมออก

“บุ๋งๆๆ” ฟองอากาศมากมายไหลออกจากปากทำให้เด็กชายรู้สึกตื่นเต้น เมื่ออากาศหมดเขาโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำและทดลองทำอีกครั้ง

การกระทำเช่นนั้นทำให้หญิงสาวดีใจ.. ลูกของนางชอบทะเล และดูเหมือนว่าเขาจะว่ายน้ำได้โดยที่นางไม่ต้องสอน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังห้ามให้เด็กชายไม่ให้ไปที่ลึกมากนัก

“ทำไมเหรอท่านแม่ ข้าเห็นพวก ลุงป้าไปดำผุดดำว่ายกันตรงนั้น ข้ายังไปไม่ได้เหรอ…?” เด็กน้อยถามด้วยความสงสัย แม่ของเขาส่ายหน้ายิ้มให้

“เจ้าพึ่งดำน้ำในที่ลึกวันแรก คาซีล” สองมือแม่ช้อนตัวของลูกขึ้นไปยืนบนหิน ตรงที่แม่ยืน พึ่งจะพ้นหัวเจ้าเพียงนิดเดียวเท่านั้น หากความซุกซนทำตัวเจ้าปลิวไปกับคลื่นทะเล แม่จะทำอย่างไรดี ฮึ อยู่ที่ตื้นๆ ว่ายน้ำให้แข็งและดำน้ำให้ได้นานๆเสียก่อน แล้วแม่จะพาไปหาของดีฟินเชอร์รี่” หญิงสาวไหล่กว้างผิวเข้มที่ใส่เพียงเกาะอกและกางเกงสีดำตัวสั้นเพื่อการดำน้ำนั้นหอมแก้มเด็กน้อยก่อนจะเอ่ยเรียกเด็กหนุ่มอีกคนที่ดำผุดดำว่ายแถวนั้น

“โยชา น้าฝาก เจ้าจอมซนนี่ด้วย” เด็กตัวผอมหันมองคนที่กำลังย่างเข้าวัยรุ่นก่อนจะยิ้มแป้นแล้วโบกมือไวๆให้กับคนที่เดินมาจากหลังโขดหินพร้อมกับของในย่ามที่ได้จากทะเลมามากมาย

เขามีรูปร่างที่ออกจะกำยำตั้งแต่เล็ก พอย่างเข้าวัยรุ่นยิ่งดูแข็งแรงและโตกว่าเด็กรุ่นเดียวกันมากนัก อีกทั้งยังเป็นหัวหน้ากลุ่มของเด็กๆในย่านท่าเรือนี่อีกด้วยและที่สำคัญ…

เป็นพี่ชายข้างบ้านของคาซีลเอง โยชาจึงเห็นเด็กน้อยเหมือนน้องแท้ๆของตน

ด้านหลังของเด็กตัวใหญ่ก็มีเด็กวันรุ่นชายหญิงอีกสามคนเดินตามมา ทั้งหมดเป็นน้องแท้ๆของโยชาทั้งสิ้น ต่างถือย่ามตาข่ายใส่ของมากันทั้งนั้น

รอยยิ้มมั่นใจในตนเองของเด็กหนุ่มผุดขึ้นที่ริมฝีปาก “ได้เลยน้า เดี๋ยวข้าจะดูให้ รับรอง ไม่ปลิวไปกับทะเลอย่างแน่นอน” น้ำเสียงที่เริ่มแตกหนุ่มทำให้เขาดูห้าวหาญมากขึ้นกว่าเดิมก่อนจะเดินไปยังที่คาซิลอยู่ “ไป ไอ้หนู ข้าจะสอนเจ้าให้ปอดแข็งจนไปดำหาหอยไข่มุกงามๆได้เลยทีเดียว!”

“งั้นข้าไปก่อน” หญิงสาวเอ่ยก่อนจะเดินสะพายย่ามตาข่ายขึ้นจากน้ำตื้น เพื่อไปยังแหล่งไข่มุขที่น้ำลึกกว่ามากมายนักโดยไม่ลืมหอมแก้มนิ่มของลูกชาย

“ฮิฮิ แม่ฮะ เย็นนี้ข้าอยากกินปลาย่าง!” คาซีลโบกมือไวๆก่อนจะหันไปวิ่งตามโยชาไป..เด็กน้อยดึงย่ามของเด็กชายเบาๆ “วันนี้พี่จะสอนอะไรข้าเหรอ” แล้วเงยหน้าขึ้นมองคนที่สูงเลยเขาไปหนึ่งช่วงตัว

โยชากอดอกแล้วโคลงหัวก่อนจะนึกอะไรได้ เขาเสยผมตัดสั้นขึ้นทั้งที่ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วก้มมองเด็กน้อยที่มองกลับมาด้วยแววตาเป็นประกายอยากเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ

มือที่เริ่มใหญ่วางลงบนหัวทุยแล้วขยี้จนฟูแล้วก้มลงกระซิบ “สะเดาะกุญแจเป็นไง” แล้วก็หยิบลวดที่หยักแปลกๆสองเส้นขึ้นมาให้เด็กน้อยที่ตาเป็นประกายวิ้งดู “น่าสนุกไหมล่ะ ไอ้หนู” พร้อมกับเสียงหัวเราะหึหึของหนุ่มสาวที่เดินตามมาข้างหลัง

“ข้ามีหีบสองสามใบ และแม่กุญแจอีกเป็นสิบแบบให้เจ้าฝึกหัด ทำได้ครบเมื่อไหร่ข้าจะพาเจ้าไปลองของจริง” โยชาหัวเราะก่อนจะจูงมือเด็กน้อยไปยังสถานที่ลับสำหรับ…

กลุ่มโจรเด็ก…

เด็กชายโดนสอนให้ขโมยตั้งแต่เล็ก… เพราะเขาไม่มีพ่อ แม่ก็ต้องคอยทำงานหาเงินเลยไม่มีเวลาดูแลมากเท่าไหร่ การที่จะโดนหลอกให้คล้อยตามคนรอบข้างนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดายนัก และมันถูกปิดเป็นความลับกับมารดามาโดยตลอด ที่ผ่านมานางคิดแค่ว่าพวกเด็กๆพาไปเล่นกันเท่านั้น..

กว่านางจะรู้ว่าลูกของเธอเป็นโจรก็ผ่านไปเกือบหกปี…

 

และกว่าคาซีลจะรู้เรื่องรู้ราวว่าสิ่งที่ตัวเองทำเรียกว่าโจรก็ย่างอายุเข้าสิบขวบไปแล้ว แต่ตัวเด็กน้อยเองก็ไม่คิดจะเลิกการกระทำนี้แต่อย่างไร เพราะมันแสดงให้เห็นแล้วว่าการได้เงินมันได้มาง่ายกว่าใช้แรงงานเข้าแลกแบบแม่ของตนมากมาย  อาจจะมีเสียงถึงชีวิตแต่ผลที่ได้มามันก็คุ้มค่า


^55CAE3FD690F299272A9537A4210D45F1F11D7C188BB0168FC^pimgpsh_fullsize_distr[โยชา]


 

อายุ 9 ปี สถานะ นักเต้นฝึกหัด

โยชามีผู้หญิงมาอยู่บ้านด้วย….

 

ดวงตาสีเขียวมองสตรีคนสวยเป๋ง….

 

พี่สาวคนสวยก็มองเด็กน้อยอย่างเอ็นดู….เธอเป็นดันเตเลี่ยนผมยาวหยักโศกหนา ดวงตาคมสวย รูปร่างดี อย่างที่หลายๆคนต้องอิจฉา…

 

ตั้งแต่วันนั้นมา ยารี ไม่เคยออกจากบ้านของโยชาอีกเลย…

 

“คาซีลมานี่สิจ๊ะ..” มือเรียวกวักเรียกให้เด็กน้อยเดินเข้าไปหาอย่างว่าง่าย

“ฮะ พี่สาว…?” ขาที่กำลังยาวขึ้นก้าวไปตามเสียงเรียก บนในหน้ามองรอยยิ้มสดใสอยู่เต็มที่… เขาชอบพี่สะใภ้คนนี้มาก ทั้งสวยและใจดี แถมยังเอ็นดูเขาอยู่มากทีเดียว

 

เธอหอมเด็กชายซ้ายขวา “นี่แหนะคาซีล พี่จะสอนเจ้าเต้นรำ” รอยยิ้มสวยดึงดูดให้ตอบตกลง….

 

“งั้น ขอเวลาให้พี่จากโยชาซักวันนึงต่อเจ็ดวันแล้วกันนะน้องชาย” นางจับมือเล็กๆแล้วจูงเข้าไปในบ้าน และใช้เวลายามว่างของเธอสอนให้เด็กชายเต้นระบำหลากหลาย…

 

เพราะยารีเป็นต้นแบบ ทำให้หนูน้อยคาซีลชื่นชอบที่จะเข้าหาพี่สาวคนสวย และเพราะความน่ารัก และความกะล่อน ทำให้เขามีพี่สาวต่างสายเลือดมากมายในแถบนั้นที่รักและเอ็นดูไม่ขาด ทำให้เขาแทบจะไม่ขาดของกินเลยแม้แต่น้อย แถมยังได้รับความรัก และการขึ้นครูโดยไม่ต้องเสียเงินเมื่อย่างเข้าวัยรุ่นอีกด้วย


 

อายุ 11 ปี สถานะ ช่างไม้ฝึกหัด

“ฟังนะคาซีล นี่เป็นครั้งแรกที่จะให้เจ้าฉายเดี่ยว” โยชาที่ตอนนี้กลายเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้วพูดกับเด็กชายที่ย่างเข้าวัยรุ่น แต่ก็ยังตัวเล็กอยู่ดีสำหรับเขา

“หากถูกใครจับได้ให้ตอบไปว่า..เจ้าชื่อเครซ… งัดความกะล่อนที่ข้าสอนขึ้นมาให้หมดเพื่อเอาตัวรอดเข้าใจไหม..” มือใหญ่ยีแก้มเด็กชายอย่างเอ็นดูก่อนจะยันไหล่ที่เริ่มกว้างขึ้นอย่างเพศชายที่ดีให้ออกไปสู่ตลาดกว้างเพื่อทดสอบฝีมือการขโมย ส่วนตนเองเดินหายไปอีกทาง

เมื่อโดนปล่อยเคว้งไว้กลางตลาดใหญ่แล้ว เขาก็เริ่มรู้สึกใจฝ่อเล็กๆ ตลอดมาจะมีแผ่นหลังใหญ่คอยนำหน้า และพาวิ่งอยู่ตลอด แต่วันนี้…ไม่มีแล้ว

น้ำลายถูกกลืนลงคอเอื้อก สูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเดินเข้าตลาดไปอย่างปกติที่ทำอย่างทุกวัน…

วิธีเลือกเหยื่อ

เสียงของโยชาแว่วเข้ามาในหัว

ต้องเลือกคนที่เจ้ามั่นใจว่าจะขโมยได้อย่างแน่นอน เช่น คนแก่หรือคนกำลังยุ่งง่วนกับอะไรซักอย่าง เมื่อเลือกแล้วก็สังเกตุซะว่า เขาแข็งแรงแค่ไหน อ่อนแอกว่าเจ้าหรือเปล่า จะหนีได้ทันไหม  เมื่อมั่นใจแล้วก็…ลงมือ

ดวงตาสีเขียวมองไปรอบๆ…คนแก่..คนแก่….จนกระทั่งเจอคนแก่ที่ดูจะใจดีคนหนึ่ง แต่ร่างเขาสูงใหญ่กำยำอย่างคนใช้แรงงาน  แต่ก็ยังเฝ้าสังเกตต่อไป…

 

เหยื่อที่คาซีลได้เลือกไว้คนนี้กำลังนั่งห่อเหี่ยวอยู่เงียบๆ และมองทะเลอย่างเหม่อลอยราวกับหมดอาลัยตายอยากในชีวิตแล้ว… ถุงเงินที่พันกับเอวไว้ก็ดูมีไม่มาก และเขาก็ดูไม่มีกะใจจะทำงานหาเงินเพิ่มเหมือนคนอื่นๆ…

เด็กชายก้าวเข้าไปใกล้เรื่อยๆ….

วิธีฉกตัง

เสียงของโยชาลอยเข้ามาในหัวอีกครั้ง

เจ้าต้องทำให้เร็วและไวเหมือนตอนแทงปลาในทะเล รู้ไหมไอ้หนู  ขั้นแรก ต้องเข้าให้ใกล้ที่สุด

คาซีลเดินเข้าไปใกล้ลุงแก่คนนั้นเรื่อยๆด้วยใจที่เต้นระทึก เขาพยายามจะเดินให้เป็นปกติธรรมชาติ อย่างที่เด็กๆเล่นกัน เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต แต่สิ่งที่ปรากฏออกมามันขัดกันลิบ เด็กชายเดินแข็งเหมือนเป็นตระคริว และโดยไม่ได้ตั้งใจสะดุดล้มใส่เป้าหมายพอดี มือก็ไปคว้าเอาถุงเงินตามความเคยชิน แต่ลืมฉกฉวยเก็บซ่อนไว้อย่างที่ควร

แรงโดนล้มใส่เรียกให้นัยน์ตาที่เริ่มมีแววหันกลับมามอง ในตอนแรกชายแก่มุ่นคิ้วก่อนจะส่ายหน้า

 

“เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ไปเที่ยวเล่น มาหัดขโมยเงินคนแก่”… ผู้พูดลุกขึ้นนั่นทำให้เห็นว่าลุงคนนี้ไม่ได้ดูอ่อนแรงเหมือนตอนนั่งเลยแม้แต่นิดเดียว…

ซวยแล้วตัวข้าเอ๊ย……..

“ทะ..ท่านลุงเข้าใจผิดแล้วขอรับ…คือ…ข้าแค่ตะคริวกิน แล้วก็บังเอิญล้มไปโดนท่านลุงเท่านั้นเอง” รอยยิ้มแห้งจ๋อยหมาหงอยถูกนำขึ้นมาใช้อย่างที่ซ้อมหน้ากะละมังใส่น้ำแล้วคิดว่าดูน่าสงสารก่อนจะยื่นถุงเงินคืนให้ “ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ…นะขอรับ…”

ชายแก่คนนั้นมองตัวเด็กหนุ่มอยู่นาน…ซักพักจึงยกมือขึ้น…

แย่แล้ว…แย่แล้ว โดนฟาดแน่

ในขณะที่กำลังจะหันหลังแล้ววิ่งหนี มือใหญ่ก็วางลงมาบนผมสีดำตัดสั้นและยุ่งเหยิงของเด็กหนุ่มจนยุ่งเข้าไปอีก…

“มีบ้านหรือเปล่า ไอ้หนู”… เขายิ้มอ่อนโยนขึ้นมาทันทีทำให้คาซีลรู้สึกประหลาดใจ…

“…อะ…เอ่อ…..ไม่มีขอรับ…”  คำพูดโกหกออกจากปาก สีหน้าแกล้งเศร้าอย่างที่ได้หัดมาจนคิดว่าน่าสงสารที่สุดแล้ว….

“มิน่า ถึงทำตัวอย่างนี่…มานี้ ข้าจะดูแลเจ้าเอง” ชายแก่แข็งแรงอุ้มเด็กอายุสิบเอ็ดปีขึ้นก่อนจะเดินจ้ำๆฮึดไปยังบ้านของตน…

นั่นทำให้คาซิลตกใจมาก “….ละ..ลุง! ตะ..แต่ข้ายังมีแม่นะขอรับ..!!” ด้วยความลนลานจึงโพล่งออกไป ทำให้การก้าวเดินนั้นหยุดชะงักก่อนจะมองสบตากัน…

“งั้นไปบอกแม่เจ้าด้วยกัน ว่าข้าจะสอนให้เจ้าทำมาหากิน!” ชายแก่ที่ทำหน้าเศร้ามาตลอดยิ้มร่า “แม่เจ้าอยู่ไหน..?”

นิ้วเล็กๆชี้ไปที่ทะเล “แม่ของข้าหาปลาอยู่……”  ตาโตสีเขียวมองใบหน้าของคนที่อุ้มตนอยู่ สีหน้าดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันทีก่อนจะก้าวเดินดุ่มๆไปยังชายทะเล

เขาวางคาซีลลงเพื่อที่จะให้เด็กน้อยวิ่งไปหาแม่ของตนที่ก้าวเดินขึ้นมาจากทะเลพร้อมกับปลาที่แขวนเชือกพร้อมขายแล้วในมือ “แม่!!” ขาที่เริ่มยืดยาวตามวัยวิ่งไปกอดเอวของหญิงสาว นางย่อตัวลงรับกอดนั้นไว้ก่อนจะเงยหน้ามองคนแปลกหน้า

ชายชราที่ยังคงแข็งแรงเหมือนชายหนุ่มเดินเข้าไปหาพร้อมรอยยิ้มกว้าง “ข้าชื่อ อิดาห์ แม่หญิง.. เป็นช่างไม้อยู่ที่ชานเมืองฝั่งโน้น เจ้าว่าอย่างไรหากข้าจะขอรับลูกของเจ้าไปสั่งสอนวิชาไม้เสียหน่อย ได้หรือไม่..?”

แม่ของเด็กน้อยได้ฟังก็ตาโต การได้ร่ำเรียนไม่ใช่สิ่งที่นางจะหาให้ลูกของนางได้ เธอลุกขึ้นยืนมือยังจับจูงมือเล็กไว้ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้า วีลนาค่ะ” รอยยิ้มดีใจผุดขึ้นบนใบหน้า “แต่ข้าเกรงใจท่านนายช่างเหลือเกิน อยู่ๆมารับลูกของข้าไปสอน ข้าไม่มีเบี้ยเงินหรือค่าตอบแทนใดๆให้ท่าน”

“อย่าได้ห่วงไปเลยแม่หญิง แค่เด็กน้อยคนนี้มาร่ำเรียนกับข้าก็ถือเป็นค่าตอบแทนแล้ว” รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของอิดาห์ “เขามีความคล้ายคลึงกับหลานของข้าที่หายไปกับทะเลเหลือเกิน” เสียงในช่วงท้ายเบาลง…

คาซิลยังไม่เข้าใจคำว่าหายไปในทะเลเท่าใดนัก..

หากแต่แม่ของเขาเข้าใจเต็มอก…

“ถ้าเช่นนั้นข้าขอฝากลูกของข้าด้วย ท่านนายช่าง” นางจัดผมของนางให้เรียบร้อยก่อนจะย่อลงเพื่อขอบคุณ “แล้วข้าจะไปเยี่ยมเขาทุกเย็นหลังตลาดวาย” วีลนาดึงเด็กน้อยมากอดแล้วหอมแก้ม “แล้วแม่จะเอาอาหารเย็นไปฝากนะ ตั้งใจเรียนกับนายช่างด้วย”

เดี๋ยวนะ…

นี่ข้าต้องไปเรียนวิชาไม้เหรอ…?

คาซีลยืนงงๆแต่เมื่อแม่ของตนบอกให้ไป เขาก็ไป.. โดยมีสายตาของโยชาที่มองอย่างสงสัยว่า เด็กในกลุ่มของเขาไปขโมยท่าไหนถึงได้ไปเรียนวิชาหากินได้เสียอย่างนั้น….

ไม่เพียงแค่นั้น…

นายท่านช่างไม้ยังสอนให้เด็กน้อยอ่านออกเขียนได้อีกด้วย

ในทุกเช้าชายชราจะพาเขาไปที่หาดทรายพร้อมทั้งกิ่งไม้ยาวและสอนให้อ่านอักษร….

“ตัวเอ…เขียนอย่างนี้” ไม้ยาวปักลงบนทรายก่อนจะลากให้ปรากฏเส้นประกอบกันเป็นตัวอักษร และต่อไป ตัวบี ตัวซี จนถึงตัวแซด… หากเขียนผิดก็ลบเขียนใหม่ได้โดยไม่ต้องเปลืองกระดาษ…

การจับเจ่าอยู่ที่ทรายและตัวอักษรทั้งวันทำให้เด็กน้อยเบลอนิดๆ แต่ก็สามารถอ่านและเขียนตัวอักษรทั้งหมดได้อย่างครบถ้วยภายในวันเดียว  นั่นยิ่งทำให้นายช่างปลาบปลื้มใจยิ่งนัก วันเวลาผ่านไปวันแล้ว วันเล่า จนสามารถอ่านประโยคเป็นคำง่ายได้แล้ว คาซีลจึงถามชายแก่ขึ้น

“ทำไมถึงรับข้ามาสอนหนังสือละขอรับ..?” เขาเงยมองด้วยแววตาใสแป๋ว ทำให้นายช่างยีหัวด้วยความเอ็นดู

“เจ้าคล้ายหลานของข้านัก เครซ… แต่หลานข้าไม่ทันอยู่ให้ข้าสอนหนังสือ เลยต้องมาสอนเจ้าแทน… เอาล่ะ เจ้าคงเบื่อตัวอักษรพวกนี้แล้ว ไปจับเครื่องมือกันดีกว่า”

อิดาห์พาเด็กน้อยไปยังที่ทำงานของเขา มีอุปกรณ์ทำงานไม้เต็มไปหมด  การเรียนรู้การใช้อุปกรณ์พวกนี้ง่ายกว่าการเรียนด้วยตัวหนังสือมากนัก

เหมือนการเรียนว่ายน้ำ หากทำได้ครั้งหนึ่งแล้วก็ยังจะทำได้อีกในครั้งต่อๆไป การประกอบเก้าอี้ตัวเล็กๆใช้เอง การทำหีบใส่ของ การต่อโต๊ะ การประกอบถังลังทำไวน์ ความรู้เรื่องไม้และความสามารถในการช่างไหลเข้าสู่เด็กน้อย…

จากเด็กน้อย เริ่มเติบโตเป็นวัยรุ่น แต่กระนั้น ระหว่างที่กำลังตอกไม้โป๊กป๊าก โยชาก็ยังมาหิ้วคาซิลไปเป็นขโมยอยู่ดี

มันเป็นช่วงเวลาที่อิดาห์ปล่อยให้เด็กในความดูแลของเขาไปวิ่งเล่นตามประสาเด็ก พี่ชายใหญ่ก็ใช้โอกาสนี้ถือเป็นเรื่องเล่นสนุก ใช้ให้ไปขโมย สะเดะกุญแจอยู่เรื่อยไป  และน่าแปลกใจนัก มันมักจะสำเร็จทุกครั้งโดยที่คาซีลไม่โดนจับได้

ทักษะการแสดง การโกหกของเขาเพิ่มขึ้นพรวดพราด ถามว่ารู้สึกผิดไหมที่ต้องโกหกนายช่าง…ตอบเลยว่าไม่..  อาจจะเพราะการเลี้ยงดูมาแบบผิดๆของโยชา ทำให้สามัญสำนึกบางอย่างของคนปกติที่ควรจะมีนั้น

…ไม่มี…

แต่ถึงจะมีการขโมยทุกวัน แต่สิ่งหนึ่งที่โยชาไม่ขาดตกบกพร่องเลยก็คือ การสอนให้เด็กน้อยจับปลาและหาไข่มุกได้… ลึกๆในใจของชายหนุ่มแล้วก็ยังคงทำหน้าที่ที่ๆได้รับปากกับวีลนาได้เป็นอย่างดี…  การสอนใช้ใช้ชีวิตร่วมกับทะเล เป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญที่ชาวฟินเชอรี่ทุกคนต้องทำได้…


 

อายุ 15 สถานะ ลูกเรือฝึกหัด

ในขณะที่กำลังกลับเข้าบ้านในเย็นวันหนึ่งที่คาซีลไม่ได้กลับมาพักใหญ่ๆเพราะมัวแต่ไปเที่ยวเล่น พี่สาวข้างบ้านวิ่งมาด้วยสีหน้าแตกตื่น

“คาซีล! แม่ของเจ้า แม่ของเจ้า!!” นางวิ่งมาหยุดหอบตรงหน้าเขาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก

“พี่ยารี ใจเย็นๆ หายใจเข้าลึกๆ แม่เป็นอะไร” เด็กหนุ่มจับไหล่ของนาง เพื่อให้สงบอารมณ์ลง ใบหน้าสวยซีดและเหงื่อไหลซึม ดวงตากลมโตมองลงมายังเด็กน้อยที่ตอนนี้สูงเกือบจะเท่านางแล้ว

 

“แม่ของเจ้า……หายไปในทะเล!”

อะไรนะ….. หายไปในทะเล….!

เขาละจากพี่สาวทันทีแล้ววิ่ง วิ่ง วิ่ง ไปยังชายหาดที่แม่ของเขาไปดำน้ำทุกวัน… สายตาพบชาวประมงที่รู้จักกันมากมายดำผุดดำว่ายช่วยกันหาอยู่ไม่ขาด

“มีใครเจอวีลนาหรือยัง!!” เสียงตะโกนถามกันไปมาลั่นไม่ขาดสาย  คาซีลรีบกระโดดลงไปในทะเลและว่ายน้ำอย่างคล่องแคล่ว

แม่… แม่…

อยู่ไหน………

จวบจนพระอาทิตย์ตก ท้องฟ้ามืดค่ำทุกคนก็ล้มเลิกการค้นหา… โยชาต้องลากคาซีลกลับบ้าน.. เด็กหนุ่มน้ำตานองหน้าปนกับน้ำทะเลที่อาบตัว….

พี่สาวเล่าว่า แม่ของเขาไอมาสองสามวันแล้ว แต่ก็ยังฝืนไปลงทะเลเพราะจำได้ว่า ตนจะกลับมาวันนี้..แม่อยากไปหาปลาตัวใหญ่ๆมาให้เขากิน และจับหอยนางรมที่เขาชอบมาขึ้นโต๊ะกินข้าวเล็กๆของเรา….

ได้ยินแบบนั้นเด็กหนุ่มยิ่งร้องไห้….

เขาไม่เคยสูญเสียอะไรมาก่อนในชีวิต…..

และสิ่งแรกที่หายไปคือ….แม่….ของเขาเอง…

มือที่เริ่มใหญ่ขึ้นเก็บของของมารดาลงหีบใบเล็ก น้ำตาได้แห้งไปแล้วเหลือแต่ความเศร้าหมอง… ในขณะที่สะบัดผ้าคลุมเตียง ถุงกำมะหยี่เล็กๆก็กระเด็นออกมา..

 

“อะไร…?” เขามุ่นคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะก้มลงหยิบถุงนั้นขึ้นมาแล้วเปิดออกดู…ข้าในมีต่างหูห่วงทองคู่หนึ่ง

 

และมีโน๊ตเล็กๆเขียนไว้…

“แด่ วีลนา…ที่รัก”

เขาพอจะเดาได้ว่าใครให้…… พ่อที่ไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็นอีกเลยตลอดสิบกว่าปีนี้…. คาซีลส่ายหน้า ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วตรงไปหาพี่สาวข้างบ้านที่อยู่รอเพื่อเขาเสมอ…

ไม่ต้องเคาะประตูด้วยซ้ำ ขาก็ก้าวไปในบ้าน รับกอดจากยารีเพื่อปลอบเขา…

 

“พี่…เจาะหูให้ข้าหน่อย..”  พร้อมกับยื่นถุงต่างหูให้…. และจากวันนั้น…ห่วงทองคู่นี้ก็อยู่กับตัวเขา…ตลอดไป…

แต่ถึงอย่างนั้น เด็กหนุ่มก็รู้สึกเคว้งคว้างไรจุดหมายเหลือเกิน…เขาเดินเหม่อไปเรื่อยๆตรงไปยังท่าเรือ…และได้พบกับโยชาที่กำลังคุยกับลุงคนหนึ่งที่ดูท่าทางจะเป็นกัปตันเรือ…เมื่อเห็นคาซีลจึงรีบลากคอเข้าให้มาหาอย่างกระตือรือล้น

“นี่ลุง ข้าจ่ายให้แล้ว เอาไอ้หนูเครซของข้าขึ้นเรือไปด้วยนะ อยู่บ้านมันมีแต่จะหมดอาลัยตายอยาก”… กว่าที่เขาจะได้โต้แย้งหรือขัดขืน ร่างกายที่กำลังโตก็ลอยหวือขึ้นเรือไปแล้วด้วยแรงอันมากมายของกัปตันผิดกับอายุเหลือเกิน

“ได้เลย ไอ้หนุ่ม ข้าจะดูแลอย่างดี มา เครซ ข้าจะสอนเจ้าใช้ชีวิต”…รอยยิ้มร่าและเสียงหัวเราะดังของลุงที่ล็อคคอเขาอยู่ทำให้สะดุ้งขึ้นมาว่าตอนนี้ตนอยู่บนบันไดเรือ และโดนดึไปยังกาบเรือเรื่อยๆ…ในที่สุด…กว่าจะรู้ตัว สองมือของเขาก็กำลังกำเชือกเพื่อผ่อนใบเรือแล้ว…และแล่นออกจากฝั่งเรียบร้อยแล้ว

ถามข้าบ้างไหมโยชาโว้ยยยยย ถามน่ะ ถามมมม เจ้าถามข้าเป็นไหม…

โว้ยยยยยยยยยยยยย!!!!


 

อายุ 19 สถานะ ลูกเรือบลูไวเปอร์

ณ ริเบอโร่…

เครซจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองขึ้นเรือของใครมาหล่นแหมะที่นี่…  แต่เขารู้อย่างหนึ่ง….

ลูก้า โมโรนี่ เท่มาก…

มีข่าวว่ากัปตันเรือบลูไวเปอร์เทียบท่าเรือที่นี่ เขาเคยได้ยินชื่อและมองไกลๆอยู่หลายครั้ง… เรียกได้ว่าชายหนุ่มลอบสังเกตและรวบรวมข่าวของคนคนนี้มาซักพักแล้ว…

…..และการติดตามก็ดำเนินต่อไป….

 

และหลายครั้งที่ชายคนนั้นยิ้ม…ทำให้เขาคิดถึงรอยยิ้มของโยชา…. เมื่อมานั่งคิด..นอนคิด แล่นเรือคิด…เขาพึ่งรู้ว่า การที่อีกฝ่ายผลักไสขึ้นเรือ เพื่อเป็นบทเรียนข้างถนนสุดท้ายแก่เขา

 

อย่าจมกับอดีต…และมองไปข้างหน้า  เอาชีวิตรอด…

ยามค่ำวันหนึ่ง เครซอยากจะหาอะไรดื่มเล่นแก้เบื่อซักหน่อย เขาเปิดประตูก้าวเข้าไป สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาคือ แผ่นหลังและเส้นผมยาวที่คอยตามมองมาตลอดในช่วงนี้…

ลูก้า

การพบกันในร้านเหล้านั้นตื่นเต้น…หากเขาเป็นฝ่ายที่ลอบมองคนที่กำลังตะลุมบอลอยู่ร้านเหล้า… เมื่อเห็นว่ามีคนจะลอบกัดข้างหลังเขาจึงแอบช่วยเหลืออย่างเงียบๆ….

และไม่คาดคิด… ชายคนที่เขาชื่นประกาศรับลูกเรือ

 

รอช้าทำไม……

โอกาสมาแล้วนะ….ไปคว้าไว้เร็ว!

และการต่อแถวเพื่อพูดคุยกับลูก้า โมโรนี่ ก็เริ่มขึ้น

Behind The Mist

Be Awear

วันนี้เป็นวันที่หมอกลงจัด….
ตัวเขาสูดหายใจช้าๆมองสภาพอากาศรอบๆก่อนจะเดินไปยังกาบเรือเพื่อดูคลื่นทะเล มือท้าวด้ามไม้ถูพื้นมองก่อนจะเอามันกระแทกลงไปในถังแล้วดึงขึ้นมาแล้วถูดาดฟ้าต่อไป ฉับพลันประตูห้องถูกเปิดออกอย่างแรงพร้อมทั้งร่างของรองกัปตันที่ก้าวออกมาด้านหน้าและประกาศคำสั่งเสียงดัง
“เตรียมอาวุธของเจ้าให้พร้อม ทุกคนเข้าประจำที่ เรากำลังจะได้ปล้นกันแล้ว!!”
เขาหันไปมองด้วยใจที่เต้นระทึก นี่เป็นการปล้นบนทะเลครั้งแรก มือกำแบออกสองสามครั้งเพื่อระงับความตื่นเต้นสายตาจับจ้องไปยังคนที่ยืนอยู่ด้านบนรวมสายตาของลูกเรือในตอนนี้
‘จะได้ปล้นแล้ว…ต้องบอกลากันซักพักแล้วนะเจ้าไม้ถูพื้น! เจ้าผ้าขัดถัง!’ มือวางไม้ลงทันทีและเงยหน้าตั้งใจฟังคำที่เปล่างออกมาอย่างตื่นเต้น
“เรือสินค้าเป็นเป้าหมายของเรา” ไวแอดละจากกอดอกแล้วตวัดมือชี้ไปยังทิศทางที่เรือกำลังมุ่งไป  “ข้าจะเป็นผู้นำในการบุก จับอาวุธให้มั่น รอสัญญาณปืนใหญ่จากเรือ เมื่อแล่นเทียบกันได้แล้วอย่ารอช้า กระโดดข้ามไปซะ ระวังปืนของพวกมันด้วย ส่วนใครอยู่ฝ่ายสนันสนุนให้คอยคุ้มกันเรือให้ดี”
รองกัปตันหันไปหาต้นหน “ดูกระแสลมให้ดีขึ้นไปประจำรังอีกาได้แล้ว” และหันมาหาทุกคนอีกครั้ง “ไป!! ประจำที่ได้แล้ว!!”
สิ้นคำสั่งลูกเรือทั้งหมดก็ละมือจากงานที่ตัวเองทำอยู่ทั้งหมด เข้าประจำที่ของตัวเอง เขาวิ่งเอาถังน้ำและไม้ถูพื้นไปเก็บก่อนที่จะวิ่งไปประจำที่กาบเรือมือกระชับด้ามดาบแน่น สายตามองรอบๆเพ่งมองไปยังเรือสินค้าที่เริ่มปรากฏสู่สายตา
“กระแสลมมาทางตะวันตก!!” ต้นหนคนเก่งของเราตะโกนบอกหัวหน้าปืนใหญ่เสียงดังและบังคับพังงาให้เคียงไปกับเรือสินค้าอย่างรวดเร็ว
“เราเข้าระยะยิงแล้ว ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม!!” เสียงของกัปตันก้องดังลั่นเรือที่กำลังแล่นฉิวบนท้องทะเล ทุกคนต่างมุ่งไปเกาะเชือกสำหรับโหนตัว มือกระชับอาวุธแน่น แน่นอน ตัวเขาด้วย
เรือแล่นตีคู่ขึ้นไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ….จนกระทั่ง…..
“ยิง!!!” สิ้นคำหัวหน้าพลปืน เสียงปืนใหญ่ก็ดังขึ้นกึกก้อง ระดมยิงไปยังฝ่ายตรงข้ามไม่หยุดสร้างความประทับใจให้ตัวเขาอย่างมาก
‘ว้าว มันเยี่ยมโครต นี่มันเจ๋งโครตๆไปเลย!!’
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นปืนใหญ่ยิง แต่รู้สึกว่าคำสั่งยิงที่ออกมาจากปากของน๊อกซัสมันช่างมีพลังบางอย่างที่รู้สึกตื่นเต้น มีพลัง….
ลูกเรือสินค้าวิ่งพล่านจับอาวุธขึ้น เป็นความโกลาหลที่ต่างจากการกระเหี้ยนกระหือรือจากทางฝั่งบลูไวเปอร์นัก…
เรือแล่นเข้าไปใกล้ขึ้น..ใกล้ขึ้น…
เขามองไปรอบๆ..เห็นเจอร์รี่ยืนอยู่กับไกอัสและดาริว… ขาออกก้าวเดินไปยังตำแหน่งนั้น ก่อนจะตบไหล่เจอรี่ที่กำลังยื่นสั่นด้วยความตื่นเต้นไม่แพ้กัน
“ครั้งแรกก็แบบนี้แหละน่า” พี่ชายช่างต่อลังหัวเราะแห้ง เขารู้สึกได้ว่าเจอรี่กำลังตื่นอย่างมาก มือตบไหล่ปาบซ้ำเข้าไปแล้วพูดหยอกว่า “ข้าจะปกป้องความซิงของเจ้าเอง” และไม่น่าเชื่อเท่าไหร่ ดาริวก็พูดอะไรคล้ายๆกันกับเพื่อนของเรา
และผลที่ตามมาคือเขาโดนตะโกนด่า “มาพูดเรื่องความซิงอะไรตอนนี้เล่า!! ข้าไม่ใช่สตรีเสียหน่อย!!” พร้อมมือที่ว่างยกขึ้นกุมหน้าผากอย่างหนักใจ
“แต่ก็หายสั่นแล้ว..ใช่ป่าว” ริมฝีปากผุดรอยยิ้มรับการเสียงดังนั้นอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไร
“จะพูดอะไรข้าไม่ถือหรอกนะ…เตรียมพร้อมเอาไว้ รอไวแอตให้สัญญาณ” โบซันของเรือกระชับดาบแล้วมองนิ่งไปด้นตรงข้าม
“ข้ากำลังรอคำสั่งขอรับ!!” ดาริวที่ยืนอย่างมาดมั่นมานานตะโกนแข็งขันเตรียมพร้อม
ไม่ทันขาดคำ เสียงกลองศึกถูกรัวขึ้นพร้อมทั้งธงโจรสลัดชักขึ้นสู่ยอด
“เมื่อเราเทียบเรือประชิดได้แล้วบุกขึ้นเรือสินค้าได้เลย!” เสียงตะโกนของรองกัปตันลั่นดาดฟ้าเรือ
ทุกคนส่งเสียงเฮข่มขวัญเหยื่อ…ที่กำลังดิ้นรนอยู่อีกฝั่ง
เรือสินค้าชะลอลงในขณะที่บลูไวเปอร์ใช้กระแสลมและน้ำจากการอ่านทางของรีสหนุนให้เคลื่อนเข้าไปเทียบข้าง ใกล้จนกราบเรือเกือบชนกัน
ผู้คุมหมุนพังงาให้เข้ากาบเรือเทียบกัน และร้องเตือนระวังเรือโคลงด้วยใจคะนอง
เขาจับเชือกแน่น ขาข้างหนึ่งก้าวขึ้นไปบนขอบไม้เตรียมที่จะโหนตัวทันที…
และอีกอึดใจ เสียงของกัปตันก็ดังเข้าหูของลูกเรือ “บุกขึ้นไป!!”
คนแรกที่ขยับตัวคือท่านรอง…ผู้นำทัพหน้าจับเชือกให้มันแล้วโหนตัวนำทุกคนบุกไปยังดาดฟ้าเรือสินค้าทันที
เมื่อเห็นร่างกำยำคิ้วหน้ามุ่งนำไปแล้วผู้นำกลุ่มของเขาก็พูดเสียงดังอย่างที่นานๆครั้งจะทำ ไกอัสส่งเสียง “ไป!!”  พร้อมกับข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามไม่รอช้า
เจอรี่ที่เลิกสั่นแล้วก็ส่งเสียงออกชวนให้ข้ามไปเช่นกัน ตัวเขาก็หัวเราะกับท่าทางนั้นแล้วโหนเชือกตามไปทันที
ชายหนุ่มผมยาวที่ถึงเป้าหมายเป็นคนแรก พูดโดยไม่หันกลับมามองด้านหลัง “เรามาปล้นสดมภ์อย่างไรก็ต้องไปให้ถึงห้องสินค้า พวกเจ้าระวังตัวไว้ด้วย” และก้าวนำไปอย่างรวดเร็วสู่ห้องเก็บของ
เขาคิดว่าไกอัสตอนนี้ช่างแตกต่างกับที่เคยเห็นยามปกติที่นิ่งๆเงียบๆบนเรือมากมายเหลือเกิน.. ท่าทางนิ่งเรียบเฉยเหมือนดาบในมือเจ้าของที่แทงเข้าสู่จุดตาย แล้วเปิดทางนำหน้าไปยังเป้าหมาย เป็นคนที่น่ากลัวคนหนึ่ง…
แต่ยังไม่ทันคิดอะไรเสียงกระสุนก็สาดดังไปทั่วบริเวณก่อนจะเฉียดหัวไหล่เขาไปเพียงนิดเดียว…. เกือบจะได้แผลก่อนที่จะลุยซะแล้ว…
เขาตวัดตามองหาพลปืน แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการยันดาบใส่ลูกเรือที่พุ่งเข้าหาให้พ้นทาง เมื่อร่างนั้นล้มไป สายตาก็มองหาอีกสามคนที่มาพร้อมกัน
โบซันตวัดดาบแทงคอคนหนึ่งเพื่อเปิดทางให้เจอร์รี่วิ่งนำขึ้นไป พร้อมทั้งมีดาริววิ่งตามและคอยกันคนที่จะเข้ามาขวางทางออกไป
เสียงปืนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง… ก่อนจะค่อยๆเงียบลงทีละเสียงทีละเสียง… คงมีคนคอยเก็บมือปืนและเปิดทางให้อยู่จากด้านหลังอย่างแน่นอน..
รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากก่อนจะวิ่งตามสามคนนั้นไป…
เขาวิ่งไปสมทบกับดาริวที่กำลังกวัดแกว่งมีดด้ามใหญ่ของตนไปมาอย่างชำราณ
“เครซ ดาริว ระวังหลังให้ด้วย” คนพูดไม่มองพวกเขาด้วยซ้ำ ชายหนุ่มตวัดเลือดให้กระเด็นออกจากดาบแล้วพุ่งตามนายช่างลังไม้ไปด้านหน้า…..
ดาบตวัดแทงไหล่ของชายคนหนึ่งที่พุ่งเข้ามาเพื่อขัดขวางไม่ให้พวกตนลงไปข้างล่าง ก่อนที่จะได้ยินเสียงของเจอรี่ร้องดังพร้อมกับการสะดุ้งก้าวถอยหลัง…
อะไรน่ะ…ทำไมต้องตกใจขนาดนั้น……
พอเร่งรุดไปให้ถึงด้านใน..เขาก็ต้องตกใจเช่นเดียวกับคนที่มาก่อน ซากศพเรียงรายเต็มไปหมด ทั้งสภาพดีและแย่แตกต่างกันไป…
ถึงจะเคยเห็นคนตายมาในสภาพต่างๆเยอะ แต่การเห็นร่างไร้วิญญาณมากองรวมกันมากๆมันก็สลดได้เหมือนกัน.. “ให้ตายเถอะ…..” เขาหันไปเห็นสีหน้าดาริวที่ไม่ได้ดีไปกว่าตนเท่าไหร่นัก….
การพยักหน้าให้กันครั้งนี้สื่อความหมายอะไรบางอย่างที่หดหู่ในใจ
‘คงจะเป็นฝีมือของแซงค์ที่อยู่ด้านใน….’  
สายตาหันไปเห็นเจอรี่ที่ก้าวถอยไปอยู่หลังไกอัส…… พี่ชายคนนี้คงจะยังไม่ชินกับอะไรแบบนี้พอสมควร..ต่างกับคนที่พูดปลอบด้วยคำที่เรียบง่ายเช่นว่า “เดี๋ยวก็ชินไปเอง” ก่อนจะก้าวผ่านศพพวกนั้นอย่างระแวดระวัง เผื่อว่าอาจจะมีใครซุ่มอยู่อีก..
“ท่านไกอัส ข้างหน้ามีคนอยู่” เจ้าของชื่อไม่ลังเลที่จะแทงเข้าที่จุดตายหรือศพที่ยังไม่ตายสนิทเพื่อความปลอดภัย
เขาและดาริวเดินเว้นระยะกับสองคนด้านหน้าอย่างพอดี และทันเห็นเจ้าของเสียงที่พุ่งไปรับดาบแทนโบซัน
!
ร่างนั้นล้มลงไปด้านหลังเพราะแรงดึงของชายหนุ่มผมดำยาว เขาวิ่งไปข้างหน้าเพื่อหาเจอรี่ ในขณะที่มีดทำครัวด้ามใหญ่ที่เรียกว่าปังตอนั่นบินผ่านเขาไปยังเป้าหมายแล้วปักลงบนเนื้อนั่นอย่างแม่นยำ
ไกอัสที่อยู่ด้านหน้าประคองเจอร์รี่ไว้ และเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่เป็นไรมากจึงดึงมีดนั่นออกแล้วส่งคืนให้ดาริวก่อนจะลุกขึ้นแล้วมองรอบๆอย่างระแวดระวังเผื่อจะมีการซุ่มโจมตีเกิดขึ้นอีกครั้ง
คณะรุดขึ้นไปด้านหน้ามุ่งสู่ห้องสินค้าที่อยู่ไม่ไกลนัก
 
พวกเขาไม่มีใครสังเกตุเห็นสิ่งผิดปกติเลย…ยกเว้น..
ไกอัส…
“ปัง!” เสียงปืนดังขึ้นในระยะไม่ไกลนัก ร่างที่วิ่งนำหน้าอยู่ทรุดหงายลง และมีรอยบนเสื้อที่เปลี่ยนเป็นสีแดงในวงกว้างบริเวณไหล่..
!!!
เขาหันไปมองต้นเสียงปืนเพื่อพบว่าคนที่ลั่นไกนั้น..เป็นสตรีผู้หนึ่งที่กำลังตั้งครรภ์แก่..และอีกมือกำลังจูงเด็กสาวตัวน้อยไว้…
“บ้าเอ๊ย!! คนท้องทำไมไม่อยู่บนบกวะ!!” ในใจเขาหมายจะวิ่งไปปลดปืนแล้วหาเชือกแถวนั้นมัดไว้ แต่ยังไม่ทันวิ่งถึงตัว ก็มีมีดเล่มเล็กพุ่งแซงไปปักยังกลางศรีษะของหญิงผู้นั้น…และ…ล้มลงทันที…
อะไรน่ะ……ไกอัส…  
เขารู้สึกตกใจที่เห็นสตรีคนนั้นล้มลง…ในใจของเขารู้สึกรับไม่ได้อยู่ในส่วนลึก มัน…เกินไปที่จะจบชีวิตของผู้หญิงที่กำลังมีอีกชีวิตในท้อง..
ในขณะเดียวกัน เด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่ก็ร้องไห้จ้าลั่นบริเวณ… เขาสลัดความรู้สึกที่ไม่จำเป็นในยามนี้ทิ้งไปก่อนจะหยิบเชือกมามัดมือและมัดปากไม่ให้เจ้าตัวเล็กคนนี้ร้อง หรือวิ่งไปหรือแม้กระทั่งหยิบปืนขึ้นมาขัดขวางคนอื่นได้อีก…
อยู่เงียบๆเถอะ เด็กน้อย..บางทีเจ้าอาจจะรอด…
เขาได้แต่ภาวนาในใจแล้วางเด็กไว้แถวนั้นก่อนจะกลับไปรวมกลุ่ม…ไกอัสทำแผลเบื้องต้นให้ตัวเองแล้วเรียบร้อย ชายหนุ่มลุกขึ้นก่อนจะมุ่งสู่เป้าหมายเดิม…
แต่ตอนนี้สถานะของเรือสินค้ากำลงแย่
รอยรั่วของเรือสินค้าเริ่มถูกแรงดันน้ำพังเข้ามา น้ำค่อยๆไหลทะลักเข้ามาในเรือ ยังไม่มากนักแต่มีแนวโน้มว่าจะพังเข้ามามากกว่านั้น
สายตามองเด็กสาวที่สลบไปแล้วเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะมุ่งตามไกอัสไป เขารู้สึกได้ว่าเรือกำลังจะจม…
อีกไม่กี่ก้าวต่อมา…ในที่สุดพวกเขาสี่คนก็ถึงห้องสินค้า..
“ขนออกไปให้ได้มากที่สุด แล้วแจ้งพวกข้างบนด้วยว่า ข้างล่างนี่จัดการเรียบร้อยแล้ว” ผู้นำกลุ่มกล่าวขึ้น ที่เหลืออีกสามรีบทำตามอย่างรวดเร็ว ขนของเท่าที่จะขนได้ไปวางไว้ที่ดาดฟ้าให้คนอื่นรับช่วงขนกลับเรือ และตัวเองก็กลับเข้ามาขนอีกครั้ง…
เขามองไปยังจุดที่เคยมีเด็กสาวอยู่…
แต่เธอหายไปแล้ว..
!!
แต่มันไม่ใช่เวลาตามหาเด็กที่ตัวเองไม่รู้จัก ร่างก้าวฉับๆลงไปยังห้องเสบียงครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อทำหน้าที่ของตนเองให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี..
เมื่อเสื้อผ้าอาวุธถูกขนไปได้บางส่วนแล้ว..สายตาจึงกวาดไปเห็นลังถังเหล้า… เขาไม่รอช้าฉวยขึ้นมาหนึ่งลังเต็มๆ และให้อีกลังกับดาริวที่ถึงกับเอ่ยขึ้นมาว่าเอาเผื่อตนด้วย…และก็ช่วยกันขนออกไปด้วยจิตใจที่ดีขึ้นเล็กน้อย..
ในที่สุดเจอรี่ที่เทียวไปเที่ยวมาก็พยุงไกอัสออกมาจากห้องเสบียง….
“เด็กคนนั้นหายไป…?” โบซันมองสังเกต
“ข้าจัดการนางไปแล้วท่านไกอัส..ตอนนี้ท่านต้องไปหาหมอ”  น้ำเสียงของนายช่างราบเรียบผิดปกติ…แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสงสัย.. การพาคนเจ็บกลับเรือย่อมสำคัญกว่า..
เขาก้าวเดินออกมาจากสองคนนั้น และตรงไปยังร่างไร้วิญญาณที่แซงค์ได้จัดการเพื่อเปิดทางให้เปลี่ยนการสลดหดหู่ในก่อนหน้านี้เป็นจิตใจของขโมยและคิดเข้าข้างตัวเองว่าคนตายนั้นไม่ต้องการของยังชีพอีกต่อไป…และเริ่มตรวจทรัพย์สินมีค่าส่วนตัวของคนที่หนึ่ง..ที่สอง..ที่สาม…
ได้ถุงเงินและของมีค่ามาเพิ่มอีกเล็กน้อย รวมทั้งมีดเล่มงามที่เขาคิดจะเก็บไว้เอง..
สถานะของเรือตอนนี้เริ่มจะมีไฟไหม้ลามออกมาจากด้านใน…ด้วยฝีมือของใครเขาไม่รู้ แต่ในตอนนี้ทุกคนก็เร่งรีบขนของกลับไปให้ได้มากที่สุด
ดาริวยังคงยืนใกล้ๆและช่วยหาของเพิ่มเติม…. สายตาเขาเหลือบไปเห็นนาฬิกาพกเงินของใครคนหนึ่งจึงหยิบมาแล้วยื่นให้อีกฝ่ายช่วยถือไว้
ซึ่งก็เป็นไปตามคาด …คือต้องให้ไปเลยไม่ได้คืนอีก
เขาหัวเราะนิดๆกับการกระทำนั้นก่อนจะกลับขึ้นลูซี่…
เมื่อขึ้นเรือได้แล้ว สิ่งที่ทำอย่างแรกคือการลำเลียงข้าวของที่กระจัดกระจายเข้าไปเก็บให้เป็นที่ มองไกอัสที่นั่งหน้าเบี้ยวให้ชาโต้ทำแผล…
การแอบมองชาโต้ทำแผลให้คนอื่นนี่ไม่สนุกเอาซะเลย.. โดยเฉพาะคนที่นั่งให้รักษานี่แทบจะสลบลงไปอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะอาการเจ็บจากกระสุนฝังไหล่ แต่เป็นวิธีการรักษาที่เกือบจะทำให้โบซันคงเก่งโดนตัดแขนทิ้ง..
มีการขานชื่อตรวจสอบว่าทุกคนยังอยู่และไม่มีใครตกค้างอยู่บนเรือลำนั้น กัปตันก็ตะโกนสั่งให้รีสรีบออกเรือทันที การที่เรือลำใหญ่จมลงอาจจะเป็นไปได้ที่จะมีกระแสน้ำดึงเรือของพวกเราลงไปด้วย
เขารีบวิ่งกลับไปที่ดาดฟ้าเพื่อช่วยลำเลียงคนเจ็บเข้าให้ถึงมือหมอ…. และเขาเหลือบไปเห็นกัปตันทีละออกมาจากนายช่างไม้….
 
ที่กำลังอุ้มเด็กสาวไว้ในอ้อมแขน..แล้วพาเข้าสู่กรงขัง…
…..ชิบหาย…เอาจริงดิเจอร์รี่!!
ในมือเขากำลังถือผ้าพันแผลยืนเหม่อไปทางชายคนนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมีคนชนจนหน้าเกือบทิ่ม สติจึงหวนกลับมานึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ต้องช่วยเรื่องนี้ก่อนที่จะไปห่วงคนอื่น
ในตอนเที่ยง…
เมื่อทุกอย่างสงบลงแล้ว..เขาก็ไปนั่งอยู่บนกาบเรือ..เหม่อมองทะเลและหวนนึกถึงภาพของสตรีที่กำลังตั้งครรภ์คนนั้น และเด็กสาวที่ถูกพาเข้าไปในกรงขัง…
ไกอัสน่ากลัว…ในยามต่อสู้นัก..  เขายอมรับว่าเขาไม่ใจแข็งพอที่จะฆ่าเด็กหรือผู้หญิง โดยเฉพาะกำลังตั้งครรภ์.. ในตอนนั้นความคิดมีแค่จะปลดปืนและจับนางมัดไว้เท่านั้น…
เข่าซ้ายชันขึ้นเอาแขนท้าวแล้วเอาคางเกยมืออีกทีหนึ่ง…รับลมทะเลเพื่อหวังว่าจะให้ภาพที่มีดปักหน้าผากสตรีผู้นั้นจางลงบ้าง…
เขาหันหน้ามองไปยังกรงของเด็กสาว…และเห็นลูก้ายืนอยู่ตรงนั้นเช่นกัน
….!
ร่างกายรีบเด้งขึ้นและลงมายืนที่ดาดฟ้าเรือมองไปที่เหตุการณ์นั้นอยู่ห่างๆ
ไม่นานไวแอตก็เดินเข้าไปหา กลับออกไป..และกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมเจอร์รี่…
ทุกคนอยู่พร้อมหน้าและเงียบลงโดยไม่ได้นัดหมาย.. นายช่างรุ่นพี่ของเขาดูตัวเล็กกว่าที่เคย..
กัปตันร่างใหญ่ขึ้นไปนั่งบนกรงของเด็กสาวโน้มตัวมาข้างหน้าประสานมือไว้บนตัก ถึงแม้จะไม่ได้พูดคุยกันเสียงดัง..แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรต่างจดจ้องอยู่กับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
และทันใดนั่น ชายหนุ่มก็โดนลูก้าตบหน้าหัน เสียงพูดที่คุยกันปกติกลับดังขึ้นด้วยความโกรธ
“ข้าถึงได้เรียกเจ้ามาคุย ข้าไม่สนว่านางจะพบความฉิบหายอะไรในชีวิตมาบ้าง ที่ข้าสนคือ…ข้าพาทุกคนขึ้นมาอยู่บนเรือ ให้ช่วยเหลือกันและกัน…พวกเจ้าคือแรงงาน..เจอรี่ แรงงานคือพวกเจ้ากินข้าว ได้แบ่งสมบัติ มีชีวิตสุขสบาย แลกกับการที่พวกเจ้าต้องทำงานเพื่อเรือ เพื่อ ‘ครอบครัว’…ไม่ใช่ไอ้อีตัวอื่นนอกเรือ เวลาที่เจ้าเอาเวลาเอาแรงกายไปช่วยคนอื่น สำนึกใส่หัวไว้ด้วย…ว่าเพื่อนบนเรือกำลังต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าไม่แพ้ ไอ้เด็กนั่น…เข้าใจที่ข้าพูดไหม”
เจอร์รี่นิ่งไปก่อนจะตอบสิ่งที่ทำให้ไวแอตชักดาบออกมาจ่อคอเขา…..
เขาใจเต้นแรงมองการกระทำนั้นอย่างตื่นตระหนกในใจแต่ภายนอกนั้นยังดูนิ่งเฉย…
หมอโยฮันเดินเข้าไปแตะไหล่รองกัปตันเพื่อห้ามปราม…การพูดคุยยังคงดำเนินต่อไปโดยเจอร์รี่ยอมรับผิดเพียงคนเดียว..
เขาลอบกลืนน้ำลายเมื่อลูก้าสั่งให้พาเด็กสาวออกมาจากรง สั่งให้วาเลนและรีสจับแชนชูเหนือหัวไว้คนละข้าง…
กัปตันจะทำอะไร…?
ร่างใหญ่หันไปมองชายหนุ่ม “ดูไว้นะเจอรี่…ครั้งหน้าคนที่เจ้าคิดจะเก็บมันขึ้นมา…ก็จะต้องเป็นแบบนี้”
แขนเงื้อดาบขึ้นเล็งฟันไปที่แขนของเด็กสาวข้างที่ต้นหนจับไว้จนขาดออกจากตัว เด็กสาวหวีดร้องดังอย่างตื่นตระหนก เสียงกรีดร้องเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เลือดแดงข้นพุ่งออกจากต้นแขนสาดลงบนพื้นเรือในทันที
อ้าวเชี่ย!!  
ยังไม่ทันจะหายใจจบเฮือก…
ลูก้าเงื้อมือฟันแขนข้างที่วาเลนจับอยู่ด้วยเช่นกัน และจับหิ้วร่างเด็กน้อยไปยังกาบเรือ
เฮ้ย!!
เขาก้าวไปข้างหน้าสองก้าว…โดยไม่รู้ตัว ราวกับว่าจะก้าวไปหาเด็กสาวคนนั้น.. แต่เป็นหมอโยฮันที่เข้าไปจริงๆ…
ชายหนุ่มกำลังพยายามทำอะไรซักอย่างกับร่างที่เต็มไปด้วยเลือด… มือพยายามห้ามเลือด…ก่อนที่ร้องเพลงกล่อมเด็กเบาๆ..ช้าๆ..แล้วใช้มีดปาดคอนาง..และปล่อยร่างของนางทิ้งลงทะเลไป…
รู้สึกสติหายไปวูบหนึ่งเมื่อเห็นเหตุการณ์นั้น.. มันยิ่งกว่าการที่ไกอัสเขวี้ยงมีดปักหน้าเสียอีก…
เขามองไปยังเจอร์รี่ด้วยความเป็นห่วง……
……….
ไม่นานนักคำสั่งทำความสะอาดดาดฟ้าเรือก็ดังขึ้น…คนทำงานก็ทำด้วยหัวใจที่หดหู่…
เช้าวันถัดมา
เขาลุกจากเปล ล้างหน้าล้างตาในใจนึกถึงพี่หัวหน้าต่อช่างลังไม้ของตนเองนักว่าจะเป็นอย่างไร..ประกอบกับเขาต้องไปรับคำสั่งงานดูแลถังไม้ใหม่ๆที่ได้มาเมื่อวาน ขาจึงก้าวตรงไปยังห้องเก็บเสบียงที่อีกฝ่ายนอนอยู่..
เขาเห็นร่างนั้นขดตัวนอนบนเปล…. มือเอื้อมไปนั่งข้างๆแล้วไกวเปลเบาๆ..
“เฮ้..”  ชายหนุ่มขยับตัวหันกลับมาหา “ เครซ…? โทษที ข้าตื่นสาย..?”
“เปล่าหรอก” เขาส่ายหน้าน้อยๆแล้วยิ้มให้ “เจ้าจะนอนต่อก็ได้ เดี๋ยววันนี้ข้าจะทำงานแทนเอง”……
เพราะถ้าเป็นตัวข้าเองไปอยู่ตรงนั้น วันนี้ข้าก็คงไม่มีแรงจะลุกขึ้นมาทำอะไรเหมือนกัน..
เจอร์รี่ส่ายหน้า พึมพำบอกว่าลำบากเจ้าแล้วเบาๆ… เขาพูดเสนอน้ำและอาหารให้ และก็ได้รับคำตอบกลับมาว่าไม่เป็นไร…
 
เป็นน้ำเสียงและท่าทางที่ไม่น่าเชื่อถือเอาซะเลย…
เขาเอาคางเกยเปลของอีกฝ่ายไกวเปลเบาๆและร้องเพลงราวกับกำลังกล่อมเด็ก…. “นี่…คุยกับข้าได้นะ..”
ชายหนุ่มตอบกลับมาด้วยเสียงเบา….โดยไม่รู้ว่าจะพูดอะไร…
ใช่..เป็นเขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเหมือนกัน…
และพี่เจอร์รี่แสนดียังอุสาห์เป็นห่วงเขา.. “ แล้วเจ้าบาดเจ็บหรือเปล่า…?”
“เจ็บจนร้องโอดโอยไปพักนึงเลย” พร้อมกับเสียงหัวเราะเล็กๆจนอีกฝ่ายเข้าใจผิด
“เจ็บขนาดนั้น…?”
“..เปล่าหรอก ข้าล้อเล่น”   ชายหนุ่มนิ่งไปก่อนจะพูดว่าดีแล้วกับขอโทษออกมา…
ขอโทษที่ทำทุกคนเดือดร้อน….และขดตัวมากกว่าเดิม…
เขาไม่ชอบที่เจอร์รี่หดหู่หม่นหมองแบบนี้เลย  จึงเอื้อมมือไปลูบเส้นผมสีทองของเจ้าตัวช้าๆ…
“เจ้าหดหู่แบบนี้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก..” เขาฉุดเจอรี่ที่ยังคงตัดพ้อตัวเองว่าไม่สามารถควบคุมความรู้สึกได้ขึ้นนั่ง “หาอะไรสนุกๆทำกันเถอะ”
อีกฝ่ายมองเขาอย่างงุนงงแล้วร้องถามว่าจะไปทำอะไรที่ไหน ก่อนที่จะได้รับกีตาร์ไว้ในมือพร้อมรอยยิ้มและขยิบตาให้
“ข้าว่าสิ่งนี้ช่วยเจ้าได้”…
ชายหนุ่มผมทองปฏิเสธและส่ายหน้าว่าตนคงเล่นไม่ได้ในตอนนี้ พร้อมทั้งกลับไปทำท่าทางห่อเหี่ยวอีกครั้ง
“เล่นเถอะ” เขาคะยั้นคะยอ พร้อมทั้งหยิบตลับมือของยิปซีขึ้นมาถือไว้ “เล่นให้เธอคนนั้นกัน…”
คราวนี้ได้ผล.. อีกฝ่ายมองเครื่องสายในมือซักพักราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ก่อนจะพยักหน้าตกลง
เขายิ้มมองการกระทำนั้นก่อนจะขยับตลับในมือให้เกิดเสียงจังหวะนำ…จากนั้น..เสียงบรรเลงเพลงจากเครื่องดนตรีก็ดังขึ้นเป็นจังหวะเศร้าสร้อย สวยงาม…
เพลงแห่งการบอกลา……
เขาดีใจที่เจอร์รี่ยอมเล่นดนตรีตามที่เขาแนะนำ อย่างน้อยความรู้สึกที่อัดอั้นจะได้ระบายออกมาบ้าง.. หากเป็นเขาที่อยู่ในสถานการณ์แบบนั้นคงจะซึมเศร้าไปอีกหลายวัน
….เมื่อดนตรีจบ…ราวกับความรู้สึกของเจอร์รี่ก็ถูกปลดปล่อย….เขาเอื้อมมือไปบีบไหล่ของอีกฝ่าย…
“เจ้าได้บอกลานางแล้วนะ….”
และยังไม่ทันขาดคำดี…..พี่ชายคนนี้ก็น้ำตาร่วงเผาะ….
เมื่อเห็นดังนั้นขึงนั่งลงข้างๆ ปลดหน้ากากของอีกคนออกแล้วดึงเข้ามากอดปลอบเงียบๆ…..ใบหน้าเปื้อนน้ำตาซุกเข้ากับไหล่ของเขา ร้องไห้สะอื้นหนัก…. มือลูบหลังไปเรื่อยๆหวังจะให้เจอร์รี่ค่อยๆสงบลงอย่างช้าๆ….ช้าๆ…..
“ดีขึ้นไหม…?” เขาถามคนที่ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้น…แต่เสียงร้องไห้ได้เงียบไปหายไปแล้ว…
อีกฝ่ายพยักหน้าพร้อมกับแบมือขอหน้ากาก “ขะ…ขอคืน…”
รอยยิ้มขี้แกล้งผุดขึ้น “ข้าโยนทิ้งไปแล้ว”  พอรู้แบบนั้นคนที่กำลังก้มหน้าอยู่ก็ไม่เงยขึ้นมาอีกเลย..
ข้าล่ะอยากรู้นักว่าเจ้าจะมีดวงตาแบบไหนกัน เจอร์รี่
และเอาจริงมากกับการก้มหน้า และขอให้เขาลุกออกไปก่อนเสียอีก…
“ข้าล้อเล่น” ยิ้มขำก่อนจะลูบหัวทุยสีทองปุๆแล้วเอาหน้ากากคืนให้อย่างไม่คิดจะหยอกคนที่เอาหน้าฝังไหล่อยู่ต่อ..
ชายหนุ่มรับไปใส่ทันทีก่อนจะหันมาหา “ขอบใจนะ….หลายๆอย่าง…”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก…” ยิ้มฮี่แล้วเกลี่ยน้ำตาบนแก้มเนียนๆนั่นให้ “เจ้าจะติดหนี้ทำงานข้าหนึ่งวัน” เขาชูหนึ่งนิ้วขึ้นมายิ้มล้ออีกฝ่าย
เจอร์รี่ก้มต่ำก่อนจะกล่าวขอบคุณซ้ำอีกครั้ง พร้อมกับการกอดแน่นๆ
เขาถามอะไรอีกนิดหน่อยอย่างเช่น หิวหรือเปล่าให้เอาอะไรมาให้กินไหม…อีกฝ่ายปฏิเสธ..เพราะตนเองนั้นรู้สึกรบกวนรุ่นน้องอย่างเขามามากแล้วในวันนี้
เจอร์รี่กลับไปนอนเปลอีกครั้ง และเขาก็หยิบผ้าขี้ริ้วขึ้นก่อนจะเดินกลับออกไปทำงานด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้นเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม พี่ชายคนนี้ก็ได้ระบายออกมาบ้าง.. ไม่เพียงแค่นั้น เขายังเห็นคนบนเรืออีกหลายๆคนซึมลงไปถนัดตา.. และทำได้แค่เพียงหวังว่า..ทุกอย่างจะกลับมาร่าเริงสดใสเหมือนเดิม
และจะจำไว้ว่า คราวหลังเขาจะไม่ภาวนาให้ใครรอดตาย…

————————-

ผู้มีส่วนร่วม
    -ไกอัส , เจอร์รี่ , ลูก้า